tag:blogger.com,1999:blog-33532795357977737562024-03-05T19:59:09.328-08:00jategatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.comBlogger25125tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-68097367650665074892010-02-04T05:15:00.000-08:002010-02-04T05:21:40.213-08:00วิถีชีวิตภาคอีสาน<a href="http://www.photogangs.com/webboard/uploads/monthly_10_2009/post-3-1255228864.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 534px; CURSOR: hand; HEIGHT: 800px" alt="" src="http://www.photogangs.com/webboard/uploads/monthly_10_2009/post-3-1255228864.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ลักษณะเรือนไทยอีสาน<br /></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">คำว่า “บ้าน “ กับ “เฮือน” (ความหมายเช่นเดียวกับ “เรือน”) สำหรับความเข้าใจของ ชาวอีสานแล้วจะต่างกัน คำว่า “บ้าน” มักจะหมายถึง “หมู่บ้าน” มิใช่บ้านเป็นหลัง ๆ เช่น บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านนาคำแคน หรือบ้านดงมะไฟ เป็นต้น ส่วนคำว่า “ เฮือน” นั้นชาวอีสานหมายถึงเรือนที่เป็นหลัง ๆ<br />นอกจากคำว่า “เฮือน “ แล้ว อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำว่า “โฮง” หมายถึงที่พักอาศัยใหญ่กว่า “เฮือน” มักมีหลายห้อง เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครในสมัยโบราณ<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">คำว่า “คุ้ม” หมายถึง บริเวณที่มี “เฮือน” รวมกันอยู่หลาย ๆ หลัง เป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น คุ้มวัดเหนือ คุ้มวัดใต้ และคุ้มหนองบัว เป็นต้น คำว่า “ตูบ” หมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ชาวอีสานมีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า วางเรือนแบบ “ล่องตาเว็น” (ตามตะวัน) เพราะถือกันว่า หากสร้างเรือนให้ “ขวางตาเว็น” แล้วจะ “ขะลำ” คือเป็นอัปมงคลทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">บริเวณรอบ ๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำรั้ว เพราะเป็นสังคมเครือญาติมักทำยุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นที่ติดตั้งครกกระเดื่องไว้ตำข้าว ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีการตั้งหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อ แคร่ไว้ปั่นด้วย และเลี้ยงลูกหลาน<br />นอกจากนั้นแล้ว ใต้ถุนยังใช้เก็บไหหมักปลาร้า และสามารถกั้นเป็นคอกสัตว์เลี้ยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">อย่างไรก็ตามการจัดวางแผงผังของห้องและองค์ประกอบต่าง ๆ ในเรือนไทยอีสานมีดังนี้<br />1. เรือนนอนใหญ่ จะวางด้านจั่วรับทิศตะวันออก-ตะวันตก (ตามตะวัน) ส่วนมากจะมีความยาว 3 ช่วงเสา เรียกว่า “ เรือนสามห้อง” ใต้ถุนโล่ง ชั้นบนแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ<br />1.1 ห้องเปิง เป็นห้องนอนของลูกชายมักไม่กั้นห้องด้านหัวนอนมีหิ้งประดิษฐานพระพุทธรูปหรือสิ่งเคารพบูชา เช่น เครื่องราง ของขลัง เป็นต้น<br />1.2 ห้องพ่อ-แม่อาจกั้นเป็นห้องหรือบางทีก็ปล่อยโล่ง<br />1.3 ห้องนอนลูกสาว มีประตูเข้ามีฝากั้นมิดชิดหากมีลูกเขยจะให้นอนในห้องนี้ซึ่ง ชาวอีสานเรียกว่า” ห้องส่วม”<br /></span><span style="font-family:arial;">ส่วนชั้นล่างของเรือนนอนใหญ่ อาจใช้สอยได้อีกกล่าวคือ กั้นเป็นคอกวัวควาย ตั้งแคร่นอนพักผ่อนในตอนกลางวัน และทำหัตถกรรมจักรสานถักทอของสมาชิกในครอบครัวเก็บอุปกรณ์การทำนาทำไร่ เช่น จอบ เสียม คราด ตลอดจนเกวียน เป็นต้น<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. เกย (ชานโล่งมีหลังคาคลุม) เป็นพื้นที่ลดระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นที่รับแขก ที่รับประทานอาหาร และใช้เป็นที่หลับนอนของลูกชายและแขกเหรื่อที่กลับมาจากงานบุญในตอนค่ำคืนส่วนของใต้ถุนจะเตี้ยกว่าปกติ ซึ่งอาจใช้เป็นที่เก็บฟืนหรือสิ่งของที่ไม่ใหญ่โตนัก<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">3. เรือนแฝด เป็นเรือนตรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอน ในกรณีที่พื้นทั้งสองหลังเสมอกันโครงสร้างทั้งคานพื้นและขื่อหลังคาจะฝากไว้กับเรือนนอน แต่หากเป็นเรือนแฝดลดพื้นลงมามากกว่าเรือนนอนก็มักเสริมเสาเหล็กมารับคานไว้อีกแถวหนึ่งต่างหาก<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">4. เรือนโข่ง มีลักษณะเป็นเรือนทรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอนใหญ่ แตกต่างจากเรือนแฝดตรงที่ โครงสร้างของเรือนโข่ง จะแยกออกจากเรือนนอนโดยสิ้นเชิง สามารถรื้อถอนออกไปปลูกใหม่ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อเรือนนอน<br />การต่อเชื่อมของชายคาทั้งสองหลังใช้รางน้ำ โดยใช้ไม้กระดาน 2 แผ่น ต่อกันเป็นรูปตัววีแล้วอุดด้วยชันผสมขี้เลื่อย ในกรณีที่เรือนไม่มีครัวก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนเรือนโข่งนี้ทำครัว ชั่วคราวได้<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">5. เรือนไฟ (เรือนครัว) ส่วนมากจะเป็นเรือน 2 ช่วงเสามีจั่วโปร่งเพื่อระบายควันไฟ ฝานิยมใช้ไม้ไผ่สานลายทแยงหรือลายขัด<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">6. ชานแดด เป็นบริเวณนอกชานเชื่อมระหว่างเกย เรือนแฝดกับเรือนไฟ มีบันไดขึ้นด้านหน้าเรือน มี “ฮ้างแอ่งน้ำ” (ร้านหม้อน้ำ) อยู่ตรงขอบของชานแดด บางเรือนที่มีบันไดขึ้นลงทางด้านหลังจะมี “ชานมน” ลดระดับลงไปเล็กน้อยโดยอยู่ด้านหน้าของเรือนไฟ เพื่อใช้เป็นที่ล้างภาชนะตั้งโอ่งน้ำและวางกระบะปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>รูปแบบของเรือนไทยอีสาน</strong><br />รูปแบบของเรือนไทยอีสานสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการพักอาศัย เพื่อตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในวาระต่าง ๆ กันดังต่อไปนี้<br />1. ประเภทชั่วคราว หรือใช้เฉพาะฤดูกาล ได้แก่ “เถียงนา” หรือ”เถียงไร่” ส่วนใหญ่จะ ยกพื้นสูง เสาเรือนใช้ไม้จริง ส่วนโครงใช้ไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าหรือแป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนเก่า พื้นเป็นไม้ไผ่สับ ในกรณีที่ไร่นาอยู่ไม่ไกลจากเรือนพักสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวจะไม่นิยมกั้นฝา หากต้องค้างคืนก็มักกั้นฝาด้วย “แถบตอง” คือสานไม้ไผ่เป็นตารางขนาบใบต้นเหียงหรือ ใบต้นพวง ซึ่งจะทนทายอยู่ราว 1-2 ปี<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. ประเภทกึ่งถาวร เป็นเรือนขนาดเล็กที่ไม่มั่นคงแข็งแรงนักชาวอีสานเรียกว่า ”เรือนเหย้า” หรือ “เฮือนย้าว” เป็นการเริ่มต้นชีวิตการครองเรือน และค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบไป สู่การมีเรือนถาวรในที่สุด<br />ผู้ที่จะมี” เรือนเหย้า” นี้จะเป็นเขยของบ้านที่เริ่มแยกตัวออกไปจากเรือนใหญ่( เรือนพ่อแม่)<br />เพราะในแง่ความเชื่อของชาวอีสาน เรือนหลังเดียวไม่ควรให้ครอบครัวของพี่น้องอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในบ่านหลังหนึ่ง ๆ ควรมีเขยเดียวเท่านั้นหากมีเขยมากกว่าหนึ่งคนมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันถือว่าจะเกิด “ ขะลำ” หรือสิ่งอัปมงคล เรือนประเภทนี้วัสดุก่อสร้างมักไม่พิถีพิถันนัก อาจเป็นแบบ “ เรือนเครื่องผูก” หรือเป็นแบบผสมของ “เรือนเครื่องสับ” ก็ได้<br /><strong>เรือนประเภทกึ่งถาวรนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ</strong><br />2.1 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด”ตูบต่อเล้า” เป็นเรือนที่อิงเข้ากับตัวเล้าข้าว ซึ่งมีอยู่เกือบทุกครัวเรือนมีลักษณะคล้ายเพิงหมาแหงนทั่วไปด้านสูงจะไปอาศัยโครงสร้างของเล้าข้าวเป็น ตัวยึด ต่อหลังคาลาดต่ำลงไปทางด้านข้างของเล้า แล้วใช้เสาไม้จริงตั้งรับเพียง 2-3 ต้น มุงหลังคาด้วยหญ้าหรือสังกะสี ยกพื้นเตี้ย ๆ กั้นฝาแบบชั่วคราว อาศัยกันไปก่อนสักระยะหนึ่ง พอตั้งตัวได้ก็จะย้ายไปปลูกเรือนใหญ่ถาวรอยู่เอง ตรงส่วนที่เป็น “ตูบต่อเล้า” นี้ก็ทิ้งให้เป็นที่นอนเล่นของพ่อแม่ต่อไป<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2.2 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดั้งต่อดิน” เป็นเรือนพักอาศัยที่แยกตัวออกจากเรือนใหญ่ทำนองเดียวกัน “ตูบต่อเล้า” แต่จะดูเป็นสัดส่วนมากกว่า ขนาดของพื้นที่ค่อนข้างน้อยกว้างไม่เกิน 2 เมตร ยาวไม่เกิน 5 เมตร นิยมทำ 2 ช่วงเสา คำว่า “ดั้งต่อดิน” เป็นคำเรียกของชาวไทยอีสาน ที่หมายถึง ตัวเสาดั้งจะฝังถึงดินและใช้ไม้ท่อนเดียวตลอดสูงขึ้นไปรับอกไก่<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">วิธีสร้าง “ดั้งต่อดิน” มักใช้ผูกโครงสร้างเหมือนกับเรือนเครื่องผูกตัวเสาและเครื่องบนนิยมใช้ไม้จริงทุบเปลือก หลังคามักมุงด้วยหลังคาทีกรองเป็นตับแล้วเรียกว่า “ไฟหญ้า” หรือใช้แป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนใหญ่<br />ฝาเรือนมักใช้ฝาแถบตองโดยใช้ใบกุงหรือใบชาดามาประกบกับไม้ไผ่สานโปร่งเป็นตาราง หรือทำเป็นฝาไม้ไผ่สับฟากสานลายขัดหรือลายสองทแยงตามแต่สะดวก ส่วนพื้นนิยมใช้พื้นสับฟากหรือใช้แผ่นกระดานปูรอง โดยใช่ไม้ไผ่ผ่าซีกมามัดขนาบกันแผ่นกระดารขยับเลื่อน<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2.3 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดั้งตั้งคาน” ยังอยู่ในประเภทของเรือนเครื่องผูกมีความแตกต่างจากเรือน”ดั้งต่อดิน” ตรงที่เสาดั้งต้นกลางจะลงมาพักบนคานของด้านสกัดไม่ต่อลงไป ถึงดิน ส่วนการใช้วัสดุมุงหลังคา ฝาและพื้นเรือนจะใช้เช่นเดียวกับเรือนประเภท “ดั้งต่อดิน”<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">3. ประเภทถาวร ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น “เรือนเครื่องสับ” สังเกตได้จากการเลือกใช้วัสดุ รูปแบบของการก่อสร้างประโยชน์ใช้สอยและความประณีตทางช่าง อาจจำแนกเรือนถาวรได้เป็น 3 ชนิดดังนี้<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">3.1 ชนิดเรือนเกย มีลักษณะใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่วเสาใช้ไม้กลม 8 เหลี่ยม หรือเสา 4 เหลี่ยม ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เกย ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ (ร้านหม้อน้ำ)<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">3.2 ชนิดเรือนแฝด มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยมเช่นเดียวกัน ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เรือนแฝด เกย ชานแดด เรือนไฟ ฮ้างแอ่งน้ำ3.3 ชนิดเรือนโข่ง มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยม มีจั่วแฝดอยู่ชิดติดกัน ไม่นิยมมีเกย เรือนชนิดนี้ประพกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนโข่ง ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ</span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><br /><div>http://www.mv.ac.th/~thaiwisdom/activities6_3.htm</div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-35412423380882803612010-02-04T05:08:00.000-08:002010-02-04T05:15:35.127-08:00วิถีชีวิตภาคอีสาน<a href="http://www.matichon.co.th/online/2009/07/12489481371248948673l.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 640px; CURSOR: hand; HEIGHT: 445px" alt="" src="http://www.matichon.co.th/online/2009/07/12489481371248948673l.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff0000;">ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br /></span></strong>การสร้างบ้านของชุมชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่สมัยโบราณมักเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่สำคัญ ๆ ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ฯลฯ รวมทั้งอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่บนโคกหรือเนินสูง ดังนั้นชื่อหมู่บ้านในภาคอีสานจึงมักข้นต้นด้วยคำว่า "โคก โนน หนอง" เป็นส่วนใหญ่<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ลักษณะหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานนั้นมักจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก ส่วนที่ตั้งบ้านเรือนตามทางยาวของลำน้ำนั้นมีน้อย ผิดกับทางภาคกลางที่มักตั้งบ้านเรือนตามทางยาว ทั้งนี้เพราะมีแม่น้ำลำคลองมากกว่า<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หนุ่มสาวชาวอีสานเมื่อแต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย ต่อเมื่อมีลูกจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า "ออกเฮือน" แล้วหักล้างถางพงหาที่ทำนา ดังนั้น ที่นาของคนชั้นลูกชั้นหลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้านไปทุกที และเมื่อบริเวณเหมาะสมจะทำนาหมดไป เพราะพื้นที่ราบที่มีแหล่งน้ำจำกัด คนอีสานชั้นลูกหลานก็มักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่อีก หรือถ้าที่ราบในการทำนาบริเวณใดกว้างไกลไปมาลำบาก ก็จะชักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่ใกล้เคียงกับนาของตน ทำให้เกิดการขยายตัวกลายเป็นหมู่บ้านขึ้น<br /><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ลักษรณะการตั้งถิ่นฐาน<br /></strong></span><span style="font-family:arial;">ในการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนอีสานมักเลือกทำเลที่เอื้อต่อการยังชีพ ซึ่งมีองค์ประกอบทั่วไปดังนี้<br />1. แหล่งน้ำ นับเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก อาจเป็นหนองน้ำใหญ่หรือห้วย หรือ ลำน้ำที่แยกสาขามาจากแม่น้ำใหญ่ ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนส่วนมากเป็นที่ราบลุ่มสามารถทำนาเลี้ยงสัตว์ ได้ในบางฤดูเท่านั้น<br />ชื่อหมู่บ้านมักขึ้นต้นด้วยคำว่า "เลิง วัง ห้วย กุด หนอง และท่า" เช่น เลิงนกทา วังสามหม้อ ห้วยยาง กุดนาคำ หนองบัวแดง ฯลฯ<br />2. บริเวณที่ดอนเป็นโคกหรือที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง สามารถทำไร่และมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ มีทั้งที่ดอนริมแม่น้ำและที่ดอนตามป่าริมเขา แต่มีน้ำซับไหลมาบรรจบเป็นหนองน้ำชื่อหมู่บ้านมักขึ้นต้นด้วนคำว่า "โคก ดอน โพน และโนน" เช่น โคกสมบูรณ์ ดอนสวรรค์ โพนยางคำ ฯลฯ<br />3. บริเวณป่าดง เป็นทำเลที่ใช้ปลูกพืชไร่และสามารถหาของป่าได้สะดวก มีลำธารไหลผ่าน เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้าก็กลายเป็นหมู่บ้านและมักเรียกชื่อหมู่บ้านขึ้นต้นด้วยคำว่า "ดง ป่า และเหล่า" เช่น โคกศาลา ป่าต้นเปือย เหล่าอุดม ฯลฯ<br />4. บริเวณที่ราบลุ่ม เป็นพื้นที่เหมาะในการทำนาข้าว และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ในหน้าแล้ง ตัวหมู่บ้านจะตั้งอยู่บริเวณขอบหรือแนวของที่ราบติดกับชายป่า แต่น้ำท่วมไม่ถึงในหน้าฝน บางพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำขังตลอดปี เรียกว่า "ป่าบุ่งป่าทาม" เป็นต้น<br />5. บริเวณป่าละเมาะ มักเป็นที่สาธารณะสามารถใช้เลี้ยงสัตว์และหาของป่าเป็นอาหารได้ ตลอดจนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่นำมาเป็นอาหารยังชีพ รวมทั้งสมุนไพรใช้รักษาโรค และเป็นสถานที่ยกเว้นไว้เป็นดอนปู่ตาตามคติความเชื่อของวัฒนธรรมกลุ่มไต-ลาว<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ความเชื่อในการตั้งหมู่บ้าน<br /></strong></span><span style="font-family:arial;">การเลือกภูมิประเทศเพื่อตั้งหมู่บ้านในภาคอีสานจะเห็นได้ว่ามีหลักสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ ต้องเลือกทำเลที่ประกอบด้วย<br />1. น้ำ เพื่อการยังชีพและประกอบการเกษตรกรรม<br />2. นา เพื่อการปลูกข้าว (ข้าวเหนียว) เป็นอาหารหลัก<br />3. โนน เพื่อการสร้างบ้านแปงเมือง ที่น้ำท่วมไม่ถึง<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ส่วนคติความเชื่อของชาวอีสานในการดำเนินชีวิต ชาวอีสานมี ความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษกล่าวคือ ความเชื่อในอำนาจลี้ลับที่เหนือธรรมชาติ และเชื่อในการครองเรือน การทำมาหาเลี้ยงชีพ สิ่งใดที่โบราณห้ามว่าเป็นโทษ และเป็นความเดือดร้อนมาให้ก็จะละเว้นและไม่ยอมทำสิ่งนั้น<br />สำหรับความเชื่อในการตั้งหมู่บ้านก็ไม่ต่างกันนัก ชาวอีสานมีการนับถือ"ผีบ้าน" และแถนหรือ "ผีฟ้า"มีการเซ่นสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อให้ช่วยปกป้องรักษาลูกหลาน มีการตั้ง "ศาลเจ้าปู่" ไว้ที่ดอนปู่ตา ซึ่งมีชัยภูมิเป็นโคก น้ำท่วมไม่ถึง มีต้นไม้ใหญ่หนาทึบ มีการก่อสร้าง "ตูบ" เป็นที่สถิตของเจ้าปู่ทั้งหลาย ตลอดจนการตั้ง "บือบ้าน"(หลักบ้าน)เพื่อเป็นสิริมงคลของหมู่บ้าน และมีการเซ่น "ผีอาฮัก" คือเทพารักษ์ให้ดูแลคุ้มครองผู้คนในหมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุขตลอดไป<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">พิธีเลี้ยง "ผีปู่ตา" จะกระทำในเดือน 7 คำว่า "ปู่ตา" หมายถึงญาติฝ่ายพ่อ(ปู่-ย่า)และญาติฝ่ายแม่(ตา-ยาย)ซึ่งทั้งสี่คนนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นที่เคารพของลูกหลาน ครั้นเมื่อตายไปจึงปลูกหอหรือที่ชาวอีสานเรียก"ตูบ" มักใช้เสา 4 ต้น หลังคาจั่วพื้นสูง โดยเลือกเอาสถานที่เป็นดงใกล้บ้านมีต้นไม้ใหญ่และสัตว์ป่านานาชนิดเรียกว่า"ดงปู่ตา" ถือเป็นที่ศักดิ์สิทธ์ ใครไปรุกล้ำตัดต้นไม้หรือล่าสัตว์ไม่ได้ หรือแม้แต่แสดงวาจาหยาบคายก็ไม่ได้ ปู่ตาจะลงโทษกระทำให้เจ็บหัวปวดท้อง<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">และเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วย มีคนล้มตายผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่บ้านชาวอีสานถือกันว่า"หลักเหงี่ยงหงวย" ต้องทำพิธีตอกหลักบ้านใหม่ให้เที่ยงตรง มีการสวดมนต์เลี้ยงพระสงฆ์ เซ่นสรวงเทพยาดาอารักษ์ แล้วหาหลักไม้แก่นมาปักใหม่ ซึ่งต้องมีคาถาหรือยันต์ใส่พร้อมกับสวดญัตติเสาก่อนเอาลงดินในบริเวณกลางบ้าน ทั้งนี้เพราะชาวอีสานมีความเชื่อในการตั้ง "หลักบ้าน" เพราะหลักบ้านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผังชุมชนระดับหมู่บ้าน และเปรียบเสมือนหัวใจของบ้าน เมื่อชุมชนเติบโตขึ้น "หลักบ้าน" ก็พัฒนาไปสู่"หลักเมือง" ดังที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในประเทศไทย<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หลักบ้านมักสร้างด้วยไม้มงคล เช่น ไม้คูน ไม้ยอ มีทั้งหลักประธานหลักเดี่ยวและมีพร้อมหลักบริวารรายล้อม ส่วนรูปแบบของหลักบ้านนั้น มักควั่นหัวไม้เป็นเสาทรงบัวตูมหยาบ ๆ บางแห่งก็ถากให้เป็นปลายแหลมแล้วทำหยัก"เอวขัน"ไว้ส่วนล่าง<br /><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ความเชื่อในการสร้างเรือนอีสาน<br /></strong>อันดับแรกต้องพิจารณาสถานที่ ๆ จะสร้างเรือนก่อน โดยต้องเลือกเอาสถานที่ปลอดโปร่ง ไม่มีหลุมบ่อ ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ และต้องดูความสูงต่ำ ลาดเอียงของพื้นดินว่าลาดเอียงไปทางทิศใดและจะเป็นมงคลหรือไม่ ดังนี้<br />1. พื้นดินใด สูงหนใต้ ต่ำทางเหนือ เรียกว่า "ไชยะเต ดีหลี"<br />2. พื้นดินใด สูงหนตะวันตก ต่ำทางตะวันออก เรียกว่า "ยสะศรี-ดีหลี"<br />3. พื้นดินใด สูงทางอีสาน ต่ำทางหรดี เรียกว่า "ไม่ดี"<br />4. พื้นดินใด สูงทางอาคเนย์ ต่ำทางพายัพ เรียกว่า "เตโซ" เฮือนนั้นมิดี เป็น ไข้ พยาธิฮ้อนใจ<br />เมื่อเลือกได้พื้นที่ปลูกเรือนแล้ว จะมีการเสี่ยงทายพื้นที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจัดข้าว 3 กระทง คือ ข้าวเหนียว 1 กระทง,ข้าวเหนียวดำ 1 กระทงและข้าวเหนียวแดง 1 กระทง นำไป วางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน<br />ถ้ากากินข้าวดำ ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นั้นไม่ดีถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่งเป็นอัปมงคลมากถ้ากากินข้าวขาว ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รีบเฮ็ดเรือนสมสร้างให้ เสร็จเร็วไวการเลือกพื้นที่ที่จะปลูกเรือนอีกวิธีหนึ่งคือ การชิมรสของดินโดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษ ๆ เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิ้งไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับอยู่หน้าใบตอง จากนั้นให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง<br />หากมีรสหวาน เป็นดินที่พออยู่ได้มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุขมีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืนมีรสเปรี้ยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องกลิ่นของดินอีกด้วย โดยการขุดดินลึกราว 1 ศอก เอาดินขึ้นมาดมกลิ่นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าดินมีกลิ่นหอม ถือว่าดินนั้นอุดมดี เป็นมงคลอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าดินมีกลิ่นเย็น กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว ถือว่าดินนั้นไม่ดี ใครปลูกสร้างบ้านอยู่เป็นอัปมงคล<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">การดูพื้นที่ก่อนการสร้างเรือน ชาวอีสานแต่โบราณถือกันมากแต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต โดยยังใช้คติเดิมแต่มีการเลี่ยงหรือแก้เคล็ด เช่น การชิมดิน หากเป็นรสเค็มหรือเปรี้ยวก็แก้เคล็ดโดยการบอกว่าจืด ส่วนการดมกลิ่นดิน หากมีกลิ่นเหม็นคาวก็จะบอกเอาเคล็ดว่าหอม เป็นต้นฤกษ์ยามในการปลูกเรือน<br /><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ฤกษ์เดือน<br /></strong>1. เดือนเจียง (เดือนอ้าย) นาคนั้นนอนหลับหากปลูกเรือนอยู่มักตาย<br />2. เดือนยี่ นาคนอนตื่น ปลูกเรือนอยู่ดี<br />3. เดือนสาม นาคหากินทางเหนือ มิดี อยู่ฮ้อนไฟจักไหม้<br />4. เดือนสี่ นาคหากินอยู่เรือน ปลูกเรือนอยู่ดีเป็นมงคล<br />5. เดือนห้า นาคพ่ายครุฑหนี ปลูกเรือนร้อนนอกร้อนใจ มิดี<br />6. เดือนหก จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง มิตรสหายมาก<br />7. เดือนเจ็ด นาคพ่ายหนี จักได้พรากจากเรือนมิดี<br />8. เดือนแปด นาคเห็นครุฑ จักได้เสียของมิรู้แล้ว<br />9. เดือนเก้า นาคประดับตน ปลูกเรือนมีข้าวของกินมิรู้หมด<br />10. เดือนสิบ นาคถอดเครื่องประดับ ปลูกเรือนเข็ญใจ และคนในเรือนมักเจ็บ ไข้ตาย<br />11. เดือนสิบเอ็ด จะเกิดทุกข์ภัยอันตรายต่าง ๆ มักจะมีคนฟ้องร้องกล่าวหา จัก มีโทษทัณฑ์<br />12. เดือนสิบสอง จะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ข้าวของ และคนใช้ดีหลีแล<br /><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ฤกษ์วัน</strong><br />1. วันอาทิตย์ ปลูกเรือนจะเกิดทุกข์อุบาทว์<br />2. วันจันทร์ ทำแล้ว 2 เดือนจะได้ลาภผ้าผ่อนและของขาวเหลือง เป็นที่พึงพอใจ<br />3. วันอังคาร ทำแล้ว 3 วันไฟจะไหม้หรือเจ็บไข้<br />4. วันพุธ ปลูกเรือนจะได้ลาภเครื่องอุปโภคมีผ้าผ่อน เป็นต้น<br />5. วันพฤหัสบดี ปลูกเรือนจะเกิดสุขสบายใจ ทำแล้ว 5 เดือนจะได้โชคลาภมากมาย<br />6. วันศุกร์ ปลูกเรือนจะมีความทุกข์และความสุขก้ำกึ่งกัน ทำแล้ว 3 เดือน จะได้ลาภ เล็กน้อย<br />7. วันเสาร์ ปลูกเรือนจะเกิดพยาธิ หรือเลือดตกยางออก ทำแล้ว 4 เดือนจะลำบาก ห้ามไม่ให้ทำแล</span></div><br /><p><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></p><br /><p><span style="font-family:arial;">http://www.mv.ac.th/~thaiwisdom/activities6_3.htm<br /></p></span><br /><div></div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-30664090468860939942010-02-04T05:04:00.000-08:002010-02-04T05:08:40.453-08:00อาชีพ<a href="http://www.siamscubadiving.com/board/upload1/11642636531892.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 500px; CURSOR: hand; HEIGHT: 333px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www.siamscubadiving.com/board/upload1/11642636531892.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">นายมณฑล เจียมเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวถึงดัชนีวัดความสุขของภาคเกษตร ในเดือน มิ.ย. 2550 ที่ผ่านมา ใน 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร นั้นพบว่าเกษตรกรมีความชอบและมีความสุขในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในระดับมากถึงมากที่สุด 63.30% ระดับปานกลาง 30.94% มีความชอบเล็กน้อย 4.32% และไม่ชอบเลย 1.44%<br /><br />นอกจากนี้ ในเรื่องของความภูมิใจในอาชีพเกษตรกรรม ระดับมากถึงมากที่สุด 67.63% ระดับปานกลาง 28.78% ระดับเล็กน้อย 2.16% และไม่ภูมิใจเลย 1.44% ส่วนปัญหาที่ต้องการให้เข้าไปช่วยได้แก่ ปัญหาเรื่องน้ำ โดยขอให้มีการสร้างระบบบริหารจัดการน้ำให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านเกษตรกรรมและการบริโภค<br /><br />สำหรับประเด็นความคิดเห็นการให้ลูกหลานสืบต่ออาชีพเกษตรกรรมต่อไปหรือไม่นั้น พบว่าเกษตรกร ต้องการให้ลูกหลานสืบสานอาชีพ ต่อไปสูงถึง 86.33% ในขณะที่ ปัจจุบันมีลูกหลานช่วยงานในฟาร์มเพียง 57.55% และครัวเรือนเกษตร 82.73% มีการออมเงินสำหรับใช้จ่ายในอนาคต<br /><br />“จากผลการสำรวจของ สศก.พบว่า เกษตรกรในภูมิภาคนี้มีความพอใจและความภูมิใจในอาชีพการเกษตร และจะยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลักสืบต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ถึงแม้เกษตรกรส่วนใหญ่จะมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่ครอบครัวมีความ อบอุ่น และมีความภาคภูมิใจในการประกอบอาชีพ” นายมณฑล กล่าว<br /><br />ทั้งนี้ ในผลการสำรวจเบื้องต้น พบว่า แม้เกษตรกรจะมีความสุขในการมีอาชีพเป็นเกษตรกร แต่ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรส่วนใหญ่ก็คือ ปัญหา ไร้ที่ดินทำกิน และปัญหาหนี้สินภาคเกษตร<br /><br />อย่างไรก็ตาม สำนักนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สศก. จะมีการจัดทำภาพรวมทั้งประเทศอีกครั้งในปลายปีนี้ เพื่อนำผลที่ได้มาเป็นข้อมูลในการปรับแผนงานและงบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ ต่อไป<br />โครงการจัดทำดัชนีวัดความสุขของภาคเกษตรเป็นนโยบายที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายให้ สศก.เป็นผู้รับผิดชอบ</span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"><strong><a href="http://www.food-resources.org/news/view.php?id=194">http://www.food-resources.org/news/view.php?id=194</a></strong></span></div><br /><div></div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-52466933446420151782010-02-04T04:57:00.000-08:002010-02-04T05:23:12.142-08:00ชนเผ่าไทยอีสาน<a href="http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/oldcity/nakhonpanom22.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 384px; CURSOR: hand; HEIGHT: 180px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/oldcity/nakhonpanom22.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff6600;">ไทยอีสาน</span></strong> เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ พูดภาษาไทย-ลาว (ภาษาอีสาน เป็นกลุ่มผู้นำทางด้านวัฒนธรรมภาคอีสาน เช่น ฮีต คอง ตำนาน อักษรศาสตร์ จารีตประเพณี นิยมตั้งหมู่บ้านเป็นกลุ่ม บนที่ดอนเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า "โนน" ยึดทำเลการทำนาเป็นสำคัญ อาศัยอยู่ทั่วไป<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">เรื่องถิ่นเดิมของชาติพันธุ์ลาวมีแนวคิด 2 อย่าง ซึ่งก็มีเหตุผลสนับสนุนพอ ๆ กันคือ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">1. ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานนี่เอง ไม่ได้อพยพมาจากไหน ถ้าเหมาว่าคนบ้านเชียงคือลาว ก็แสดงว่าลาวมาตั้งหลักแหล่งที่บ้านเชียงมากกว่า 5600 ปีมาแล้ว เพราะอายุหม้อบ้านเชียงที่พิสูจน์โดยวิธีคาร์บอน 14 บอกว่าหม้อบ้านเชียงอายุเก่าแก่ถึง 5600 ปี กว่าคนบ้านเชียงจะเริ่มตีหม้อใช้ในครัวเรือน ก็ต้องสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยก่อนหน้านั้นแล้ว แนวความคิดนี้ยังบอกอีกว่านอกจากลาวจะอยู่อีสานแล้ว ยังกระจายไปอยู่ที่อื่นอีก เช่น เวียดนาม จีน ญี่ปุ่น ยุโรป แล้วข้ามไปอเมริกาเป็นพวกอินเดียนแดง</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานและมีมาจากที่อื่นด้วย (อภิศักดิ์ โสมอินทร์. 2540 : 69) แนวคิดนี้เชื่อว่า คนอีสานน่าจะมีอยู่แล้วในดินแดนที่เรียกว่า “อีสาน” หรือส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิ โดยประมาณ 10,000.- ปีที่ผ่านมา นักมานุษยวิทยา และนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าได้มีการอพยพของพวกละว้า หรือข่าลงมาอยู่ในแดนสุวรรณภูมินับเป็นคนพวกแรกที่เข้ามา พอเข้ามาอยู่สุวรรณภูมิก็แบ่งเป็นอาณาจักรใหญ่ ๆ 3 อาณาจักร คือ อาณาจักรทวารวดี ซึ่งมีนครปฐมเป็นราชธานี มีอาณาเขตถึงเมืองละโว้(ลพบุรี) อาณาจักรที่สองคือโยนก เมืองหลวงได้แก่เมืองเงินยาง หรือเชียงแสน มีเขตแดนขึ้นไปถึงเมืองชะเลียงและเมืองเขิน อาณาจักรที่สามคือโคตรบูร ได้แก่บรรดาชาวข่าที่มาสร้างอาณาจักรในลุ่มน้ำโขง มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโคตรบูรณ์ ซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจากแนวคิดที่ 2 จะเห็นว่าในคำรวมที่นักมานุษยวิทยา และ นักประวัติศาสตร์เรียกว่า “คนอีสาน” นั้นน่าจะมีคนหลายกลุ่มหลายชาติพันธุ์ปะปนกันอยู่และในหลายกลุ่มนั้นน่าจะมีกลุ่มชาติพันธุ์ “ลาว”อยู่ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานจากงานเขียนของนักวิชาการบางคนที่กล่าวว่า หลังจากพวกละว้าหรือพวกข่าหมดอำนาจลง ดินแดนอีสานก็ถูกครอบครองโดยขอมและอ้ายลาว ต่อมาขอมก็เสื่อมอำนาจลง ดินแดนส่วนนี้จึงถูกครอบครองโดยอ้ายลาวมาจนถึงปัจจุบัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงจึงกล้าสรุปได้ว่า “อ้ายลาว” ก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ลาวนั่นเอง อ้ายลาวเป็นสาขาหนึ่งของมองโกลเดิม อยู่ทางตอนบนของแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำเหลือง ก่อนที่จะอพยพเข้าครอบครองอีสานนั้นได้รวมตัวกันตั้งเมืองสำคัญขึ้น 4เมือง คือ นครลุง นครเงี้ยว และนครปา ต่อมากลุ่มอ้ายลาวเกิดสู้รบกับจีน สาเหตุเพราะจีนมาแย่งดินแดน อ้ายลาวสู้จีนไม่ได้จึงอพยพลงใต้ถอยร่นลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาตั้งอาณาจักรอยู่บริเวณยูนานในปัจจุบัน มีเมืองแถนเป็นศูนย์กลางสำคัญ แต่ก็ยังถูกรุกรานแย่งชิงจากจีนไม่หยุดหย่อน อ้ายลาวจึงอพยพลงมาตั้งอาณาจักรใหม่อีก คือ อาณาจักรหนองแส มีขุนบรมวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอ้ายลาวเป็นผู้ปกครองขุนบรมขึ้นครองราชย์ พ.ศ.1272 ได้รวบรวมผู้คนเป็นปึกแผ่น และส่งลูกหลานไปครองเมืองต่าง ๆ ในบริเวณนั้นลูกหลานที่ส่งไปครองเมืองมี 7 คน คือ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">1. ขุนลอ ครองเมืองชวา คือ หลวงพระบาง </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. ขุนยีผาลาน ครองเมืองหอแตหรือสิบสองพันนา </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">3. ขุนสามจูสง ครองเมืองปะกันหรือหัวพันทั้งห้าทั้งหก </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">4. ขุนไขสง ครองเมืองสุวรรณโดมคำ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">5. ขุนงัวอิน ครองเมืองอโยธยา (สุโขทัย) </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">6. ขุนลกกลม ครองเมืองมอญ คือ หงสาวดี </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">7. ขุนเจ็ดเจือง ครองเมืองเชียงขวางหรือเมืองพวนพี่น้องอ้ายลาวทั้ง 7 ปกครองบ้านเมืองแบบเมืองพี่เมืองน้องมีอะไรก็ช่วยเหลือเจือจุนกันโดยยึดมั่นในคำสาบานที่คำสัตย์ปฏิญาณร่วมกันว่า “ไผรบราแย่งแผ่นดินกันขอให้ฟ้าผ่ามันตาย”สำหรับ กลุ่มอ้ายลาวนี้น่าจะเกี่ยวโยงเป็นกลุ่มเดียวกับคนชาติพันธุ์ลาวในอีสาน น่าจะเป็นกลุ่มลาวเชียงและลาวเวียง คือ กลุ่มจากอาณาจักรล้านนา (ลาวเชียง) และกลุ่มจากอาณาจักร ล้านช้าง (ลาวเวียง) ในพุทธศตวรรษที่ 17-18 เริ่มตั้งแต่สร้างเมืองชวาหรือเมืองหลวงพระบาง มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง 22 องค์ กษัตริย์องค์หนึ่งคือพระเจ้าเงี้ยว ได้กำเนิดลูกชายคือพระเจ้าฟ้างุ้ม พระเจ้าฟ้างุ้ม เกิดมามีฟันเต็มปาก เสนาอำมาตย์ในราชสำนักเห็นเป็นอาเพศจึงทูลให้พระบิดานำไป “ล่องโขง” คือลอยแพไปตามลำน้ำโขง มีพระเขมรรูปหนึ่งพบเข้าเกิดเมตตาเอาพระเจ้าฟ้างุ้มไปชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่แล้วถวายตัวในราชสำนักเขมรพระเจ้าฟ้างุ้มได้รับการศึกษาอบรมอย่างองค์ชายเขมร และทรงเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เขมรด้วย เมื่อพระเจ้าฟ้าเงี้ยวสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าคำเสียวผู้เป็นน้องชายขึ้นครองราชย์แทน พระเจ้าฟ้างุ้มจึงยกทัพจากเขมรทวงราชสมบัติของบิดาคืน สามารถโจมตีเมืองหลวงพระบางได้ เจ้าฟ้าคำเลียวเสียทีแก่หลานสู้ไม่ได้ น้อยใจจึงกินยาพิษตาย เจ้าฟ้างุ้มจึงขึ้นครองเมืองหลวงพระบางเมื่อ พ.ศ. 1896 ทรงพระนามว่า “พระยาฟ้างุ้มแหล่งหล้าธรณี” พระเจ้าฟ้างุ้มเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถมาก เป็นนักรบผู้กล้าหาญชาญฉลาด ในช่วงนั้นอาณาจักรสุโขทัยมีพระมหาธรรมราชาลิไทเป็นกษัตริย์ พระเจ้าฟ้างุ้มได้ขยายอำนาจแผ่ไปถึงญวน ลงมาถึงส่วนหนึ่งของเขมรตอนล่างและเข้ามาสู่ดินแดนอีสานได้อพยพผู้คนจากเวียงจันทน์มาอยู่บริเวณเมืองหนองหาน และหนองหานน้อยประมาณ 10,000 คน พระเจ้าฟ้างุ้มครองราชย์และแผ่แสนยานุภาพเรื่อยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) แห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าฟ้างุ้มคิดแผ่แสนยานุภาพเข้าครอบครองกรุงศรีอยุธยา ทำให้พระเจ้าอู่ทองต้องเจรจาหย่าศึกโดยอ้างความเป็นญาติร่วมวงศ์ขุนบรมเดียวกันว่า “เฮาหากแมนอ้ายน้องกันมาแต่ขุนบรมพุ้น หากเจ้าเป็นลูกหลานขุนบรมจริง เฮาอย่ามารบราฆ่าฟันกันเลย ดินแดนส่วนที่อยู่เลยดงสามเส้า (ดงพญาไฟ ไปจดภูพระยายาฝอและแดนเมืองนครไทยให้เป็นของเจ้า ส่วนที่อยู่เลยดงพญาไฟลงมาให้เป็นของข้อย แล้วจัดส่งลูกสาวไปจัดที่อยู่ที่นอนให้” (ทองสืบ ศุภมารค: อ้างใน สมเด็จพระสังฆราชลาวง2528:43)พระเจ้าอู่ทองยัง ได้ส่งช้างพลาย 51 เชือก ช้างพัง 50 เชือก เงินสองหมื่น นอแรดแสนนอ กับเครื่องบรรณาการอื่น ๆ อีกอย่างละ 100 ให้แก่พระเจ้าฟ้างุ้ม จากหลักฐานนี้อาณาจักรลานช้างจึงมีอำนาจครอบครองดินแดนอีสาน ยกเว้นเมืองนครราชสีมาที่ยังคงเป็นอิสระอยู่เพราะในหนังสือ “ King of Laos ” ระบุว่าในปี ค.ศ. 1385 อาณาเขตกรุงล้านช้างทางทิศตะวันตกติดต่อกับโคราช(นครราชสีมา) ดินแดนอีสานส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้าฟ้างุ้มเรื่อยมาจนถึงสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (ลาวเขียนไชยเสฏฐามหาราช) ขึ้นครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2091-2114 ได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาอยู่เวียงจันทน์ พระองค์ได้ทำสัญญาพันธมิตรกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา และทั้งสองได้สร้างพระธาตุศรีสองรัก ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร กษัตริย์องค์นี้ได้สร้างวัดองค์ดื้อ และศาสนสถานต่าง ๆ ในเขตเมืองหนองคาย และบูรณะพระธาตุพนมด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชสนใจดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงมากกว่าสมัยก่อน ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2250กิดการแก่งแย่งอำนาจขึ้นในลาว ทำให้ลาวถูกแบ่งออกเป็น 2 อาณาจักร มีหลวงพระบางและเวียงจันทน์เป็นศูนย์กลาง และในปี พ.ศ. 2256าเขตเวียงจันทน์ทางใต้ได้ถูกแบ่งแยกโดยเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร (เจ้าหน่อกษัตริย์) มีเมืองนครจำปาศักดิ์เป็นเมืองหลวง ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ส่งจารย์แก้ว (เจ้าแก้วมงคล) มาเป็นเจ้าเมืองท่งหรือเมืองทุ่ง ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด นับว่านครจำปาศักดิ์ได้ขยายอำนาจเข้ามาสู่ลุ่มแม่น้ำมูล – ชี ตอนกลาง เวลาต่อมาลูกหลานเจ้าเมืองท่งหรือเมืองสุวรรณภูมิได้สร้างเมืองต่าง ๆ ในดินแดนอีสานมากกว่า 15 เมือง (อภิศักดิ์ โสมอินทร์. 2540 : 71) เช่น สุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ มหาสารคาม ชนบทขอนแก่น ฯ ล ฯต่อมาเกิดความไม่ลงรอยแตกแยกกัน ระหว่างกลุ่มขุนนางและกษัตริย์ลาวผู้คนได้อพยพหนีภัยการเมืองจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้าสู่อีสานเหนือ กลุ่มสำคัญได้แก่<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>กลุ่มเจ้าผ้าขาว โสมพะมิตร</strong> </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">กลุ่มนี้อพยพผู้คนมาตั้งอยู่ริ่มน้ำปาว คือ บ้านแก่งส้มโฮง (สำโรง) เจ้าโสมพะมิตรได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1ที่กรุงเทพ ฯ เพื่อถวายความจงรักภักดี และเนื่องจากมีกำลังคนถึง4,000 คน รัลกาลที่ 1 จึงโปรดเกล้าให้ยกบ้านแก่งส้มโฮงเป็นเมืองกาฬสินธุ์ขึ้นตรงต่อกรุงเทพและเจ้าโสมพะมิตรได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาไชยสุนทร” เจ้าเมืองกาฬสินธุ์<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>กลุ่มพระวอพระตา</strong> </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">พระวอพระตาเป็นเสนาบดีลาว เกิดขัดใจกษัตริย์เวียงจันทน์ อพยพผู้คนข้ามโขงมาอยู่ที่หนองบัวลุ่มภูซึ่งเป็นเมืองอยู่ก่อนแล้ว ตั้งชื่อเมืองว่า “นครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบาน” แต่ได้ถูกกองทัพลาวตามตีจนพระตาตายที่รบ ส่วนพระวอได้พาบริวารไพร่พลหนีลงไปตามลำแม่น้ำโขงจนถึงดอนมดแดง และต่อมาลูกหลานของพระวอได้ขอตั้งเป็นเมืองอุบลราชธานี และเมืองยโสธร<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>กลุ่มท้าวแล</strong> </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ท้าวแลและสมัครพรรคพวกได้อพยพหนีภัยการเมืองจากเวียงจันทน์ มาอยู่ในท้องที่เมืองนครราชสีมา ต่อมาได้ย้ายไปทางตอนเหนือแล้วขอตั้งเป็นเมืองชัยภูมิ ท้าวแลได้รับโปรดเกล้าให้เป็นเจ้าเมือง มีบรรดาศักดิ์ว่า “พระภักดีชุมพล” ต่อมาได้เลื่อนเป็น “พระยาภักดีชุมพล”การตั้งบ้านเมืองในดินแดนอีสานตั้งแต่พุทธศตวรรษ 24-25 หรือตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเมืองต่าง ๆ เกิดขึ้นมากกว่า 100 เมือง มีแบบแผนการปกครองตามแบบหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์คือมีตำแหน่งอาชญาสี่คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ส่วนเมืองในเขตอีสานใต้คือนครราชสีมาและหัวเมืองเขมรป่าดง ได้ใช้แบบแผนการปกครองแบบกรุงเทพ ฯ คือมีเจ้าเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และผู้ช่วยราชการเมืองจากหลักฐานของลาวสามารถหาได้กลุ่มชาติพันธุ์ลาว ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอีสานมานานแล้ว จึงสรุปได้ว่า คนในท้องถิ่นอีสาน หรือบริเวณนี้เป็นเชื้อสายลาว ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน สืบทอดสายธารทางประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และตลอดไปในอนาคตอีกนานเท่านาน<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>วัฒนธรรมการแต่งกาย<br /></strong>เผ่าไทยลาว(ไทยอีสาน) นิยมผ้าฝ้ายมาแต่เดิม และพัฒนาผ้าฝ้ายเป็นการทอผ้ามัดหมี่ลวดลายต่าง ๆ แหล่งผ้าฝ้ายที่มีมานานแล้วคือกลุ่มบ้านวาใหญ่ อำเภออากาศอำนวยจังหวัดสกลนคร ซึ่งมีชื่อเสียงในการทอผ้าย้อมสีธรรมชาติจากเปลือกไม้ ใบไม้ แก่นไม้ผ้าซิ่นแขนกระบอกผ้ายย้อมคราม หรือมัดหมี่ เป็นที่นิยมของชนเผ่าไทยลาวกลุ่มที่แต่งกายแบบดั้งเดิมจริง ๆ นิยมแต่งด้วยผ้าย้อมครามทั้งเสื้อและผ้าซิ่น แต่ไม่สวยเด่นเท่าผ้ามัดหมี่ เพราะมีสีดำมือทั้งตัว การพัฒนาการของการทอผ้ามัดหมี่ ทำให้ไทยลาวในปัจจุบันสามารถทอผ้าลายหมี่คั่นหลายสี เช่น สีเหลือง สีแดง และนิยมสีฉูดฉาด นอกจากนี้ชาวเผ่าไทยลาวยังนิยมทอผ้าห่ม ผ้าจ่องลวดลายสวยงาม ซึ่งสามารถปรับแต่งมาเป็นผ้าสไบโชว์ลวดลายของผ้าประกอบเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี เครื่องประดับของชาวเผ่าไทยลาวนิยมเครื่องเงินเช่นเดียวกับกลุ่มอื่นผ้าซิ่น ในขณะที่เอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ กลุ่มผู้ไทย กลุ่มย้อ กลุ่มกะเลิง แต่เดิมนิยมผ้าซิ่นมีเชิงในตัวที่เรียกว่า ซิ่นตีนเต๊าะ แต่เผ่านี้กลับนิยมซิ่นไม่มีเชิงทั้งที่เป็นผ้าเข็น(ทอ) และผ้ามัดหมี่ฝ้าย หรือไหม </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">เสื้อ แบบเสื้อของชนเผ่าไทยลาว แม้เสื้อจะเป็นเสื้อย้อมสีน้ำเงินแก่ แบบเสื้อคล้ายกับชนเผ่าอื่น ๆ แต่เนื่องจากเป็นชนเผ่าที่กระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ และรับเอาวัฒนธรรมจากภาคกลางได้รวดเร็วจึงทำให้เผ่าไทยลาวมีแบบเสื้อแตกต่างไปจากชนเผ่าอื่น ๆ บ้าง เช่น เสื้อแขนกระบอก คือทอจากผ้าแพรตกแต่งให้มีจีบมีระบาย สวมสร้อยที่เป็นรัตนชาติ เช่น มุก มากกว่าการสวมสร้อยเงิน สอดชายเสื้อในซิ่นหมี่ไหม คาดด้วยเข็มขัดเงิน จุดเด่นอีกประการหนึ่งของชนเผ่าไทยลาว คือการนิยมผ้าขะม้าทั้งชายและหญิง ผ้าขะม้า(ขาวม้า) ที่งดงามคือผ้าใส่ปลาไหล มีสีเขียว-แดง-เหลือง ตามแนวยาวไม่ใช่เป็นตาหมากรุก ซึ่งเป็นผ้าสมัยใหม่ ผ้าใส่ปลาไหลสามารถคัดแปลงเป็นผ้าคล้องคอ ผ้าสไบของสตรีในการเสริมการแต่งกายให้งดงามขึ้น</span></div><div><span style="font-family:Arial;"></span> </div><div><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><div>http://www.baanjomyut.com/library/2552/indigenous_nakhonphanom/07.html</div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-35369945136669506062010-02-04T04:53:00.000-08:002010-02-04T04:57:27.251-08:00การแต่งกายประจำภาคอีสาน<a href="http://www.thainame.net/weblampang/fourthai/images/Esan_clip_image001.gif"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 496px; CURSOR: hand; HEIGHT: 399px" alt="" src="http://www.thainame.net/weblampang/fourthai/images/Esan_clip_image001.gif" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ffcc33;">ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)</span></strong><br />ภาษาภาคนี้สำเนียงคล้ายภาษาลาว ซึ่งเรามักจะเรียกว่าเป็นภาษา “อีสาน” ภาษาอีสานเช่น เว้า (พูด) แซบ (อร่อย) เคียด (โกรธ) นำ (ด้วย) </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">การแต่งกายส่วนใหญ่ใช้ผ้าทอมือ ซึ่งทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong>ผ้าพื้นเมืองอีสาน<br /></strong>ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็กทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ<br />1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม กลุ่มอีสานใต้ คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว </span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><br /><div>http://www.thainame.net/weblampang/fourthai/page2/Esan.html</div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-36838057417434322532010-02-04T04:32:00.000-08:002010-02-04T04:51:56.181-08:00การแสดง<a href="http://learners.in.th/file/gingzz/Untitled-6.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 482px; CURSOR: hand; HEIGHT: 649px" alt="" src="http://learners.in.th/file/gingzz/Untitled-6.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;color:#996633;">หมอลำอีสาน</span></strong><br />หมอลำ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ หมอลำผีฟ้า หมอลำพื้น หมอลำกลอน และหมอลำหมู่</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#cc0000;">หมอลำผีฟ้า หมอลำผีฟ้า</span></strong> หมายถึง หมอลำที่ติดต่อกับผีฟ้า ความมุ่งหมายของการร้องรำผีฟ้าก็เพื่อรักษาคนป่วย แล้วเชิญชวนคนป่วยให้ลุกขึ้นมาร่วมร้องรำทำเพลงกับคณะหมอลำ ไม่ได้เจตนาลำเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ฟัง แต่มุ่งสร้างความบันเทิงให้แก่คนป่วยเป็นสำคัญ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">กลอนลำของหมอลำผีฟ้าและเพลงแคนเป็น " กลอนผญา " เหมือนกับกลอนเกี้ยวระหว่างหนุ่มสาว ร้องรำได้ก็ต่อเมื่อผีฟ้ามาเข้าสิง เฉพาะบทเชิญพญาแถนลงมาเยี่ยมคนป่วย ทำนองลำและทำนองแคน เรียกกันว่า " ลำทางยาว " คือ ลำแบบมีเสียงเอื้อนยาวสะอึกสะอื้นนั่นเอง ทำนองแคนในทางปฏิบัติจะเป็น " ลาย "หมอลำพื้น </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff6600;">หมอลำพื้น</span></strong> หมายถึง " หมอลำนิทาน " คือ หมอที่เล่านิทานด้วยการลำ (ขับร้อง) คำที่เก่าแก่พอ ๆ กันกับ " ลำพื้น " ก็คือ " เว้าพื้น " ซึ่งตรงกับว่า " เล่านิทาน " หมอลำพื้นจะเป็นหมอลำคนเดียว และมีหมอแคนเป่าคลอเสียงประสานไปด้วยหมอลำกลอน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#33cc00;">หมอลำกลอนคือ</span></strong> หมอลำที่ลำโดยใช้กลอน ถ้าจะให้ใกล้เคียงกับความหมายก็น่าจะเป็น" หมอลำโต้กลอน " มากกว่า เพราะเป็นการลำแข่งขันโต้ตอบกันด้วยกลอนลำแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ หมอลำกั๊บแก๊บ หมอลำกลอน (ธรรมดา) และหมอลำชิงชู้ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หมอลำกั๊บแก๊บ หรือหมอลำกรับ หมอลำ (คนเดียว) จะลำเป็นทำนองลำกลอน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หมอลำกลอน เป็นหมอลำคู่ ชาย - ชาย หรือ ชาย - หญิง ปัจจุบันจะมีเฉพาะคู่ชาย - หญิง เท่านั้น สมัยก่อนจะเน้นในทางแข่งวิชาความรู้กันเป็นหลัก ปัจจุบันนิยมการลำเกี้ยวกันเป็นการสนุกสนานเพลิดเพลิน ต้องใช้ศิลปะสูงยิ่งกว่าหมอลำประเภทใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งการฝึกฝนอบรม ความขยันหมั่นเพียร ตลอดจนคุณค่าของบทกลอน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ทำนองลำมีอยู่สองทำนองคือ ทำนองลำทางสั้น กับทำนองลำทางยาวปัจจุบันมีทำนองลำเต้ยเพิ่มเข้าเป็นตอน ทำนองลำทางสั้นเนื้อเต็มไม่มีเอื้อนมีจังหวะสม่ำเสมอ ทำนองรำทางยาวหรือบางทีเรียกว่า ลำล่อง หรือลำอ่านหนังสือ เป็นทำนองลำแบบเอื้อนเสียงยาวสะอึกสะอื้นแสดงอารมณ์โศกส่วนลำเต้ยเป็นการลำแบบเนื้อเต็ม มีจังหวะคึกคัก มีชีวิตชีวา แสดงอารมณ์รักและอ่อนหวาน มักจะแสดงตลอดทั้งคืน ประมาณสามทุ่มจนถึงสว่าง </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ทำนองลำเต้ย หมายถึง เพลงสั้น ๆ ที่ใช้ลำเกี้ยวกันและมีจังหวะคึกคักมีชีวิตชีวา ซึ่งมีทั้งหมด ๔ ทำนองคือ เต้ยโขง เต้ยพม่า เต้ยธรรมดา และเต้นหัวโนนตาล </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หมอลำชิงชู้ เป็นหมอลำประเภทหนึ่งที่มีหมอลำฝ่ายชาย ๓ คน ฝ่ายหญิง ๑ คน เป็นการลำประชันแข่งขันระหว่างฝ่ายชายเพื่อเอาชนะใจฝ่ายหญิง สมมุตฝ่ายชายทั้งสามให้เป็นข้าราชการ พ่อค้า และชาวนา บางทีเรียกหมอลำนี้ว่า หมอลำสามเกลอ หรือหมอลำสามสิงห์ชิงนางหมอลำหมู่ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หมอลำหมู่คือ หมอลำที่มีผู้แสดงหลายคน โดยแสดงเป็นเรื่องราว แสดงละคร หรือลิเก โดยนำเอานิทานพื้นบ้านมาทำบทใหม่ เช่น เรื่องนางแตงอ่อน ท้าวสีทน ขุนลู (ซูลู) -นางอั้ว ผาแดง - นางไอ่ ท้าวการะเกดและท้าวก่ำกาดำ เป็นต้น แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ หมอลำหมู่ กับหมอลำเพลิน ลำหมู่ธรรมดามักจะเน้นเรื่องความจริงจัง ความเป็นอนุรักษ์นิยมมีทำนองโศก แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย ส่วนลำเพลินจะเน้นความสนุกสนานเพลิดเพลินและความเป็นอิสรนิยมเป็นสำคัญ แต่งตัวแบบสมัยนิยม คือ นุ่งกระโปรงสั้นอวดรูปทรงเหยา </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">พิธีการอ้อนวอนผีด้วยการร่ายรำ เป็นการเสี่ยงทายให้ผีแจ้งความประสงค์เพื่อแก้ไขเคราะห์การเจ็บไข้ได้ป่วยของคนในครอบครัว เป็นประเพณีของชาวผู้ไทยที่มีความเชื่อและนับถือผีมาแต่โบราณ เรียกว่า ประเพณีการเหยาวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดกาฬสินธุ์ กรมศิลปากรได้ประยุกต์เป็นท่ารำใหม่โดยอิงลักษณะการร้องและรำจากประเพณีเดิม โดยใช้เครื่องดนตรี แคน โปงลาง พิณ เบส โหวด กลอง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ และเกราะ การร่ายรำมีทั้งจังหวะช้าและเร็ว การแต่งกายเสื้อคอกลมและแขนยาวนุ่งผ้ามัดหมี่ ห่มแพรวา กลองเส็ง , กลองสองหน้า </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">กลองเส็ง เป็นการแสดงที่ใช้กลองเป็นเครื่องมือแสดงความสามารถในการตีกลองได้ดังและแม่นยำแคล่วคล่องว่องไว เป็นที่นิยมทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มชาวโส้หรือกระโซ่ จังหวัดสกลนคร กลุ่มชาวผู้ไทย กลุ่มชาวย้อ กลุ่มชาวกะเลิง มีความนิยมกันมาก จึงได้ปรากฎการคิดสร้างสรรค์ท่าตีกลองแตกต่างกันออกไปแปลก ๆ การตีกลองเส็งจะต้องมีการแข่งขัน เพราะคำว่า “เส็ง” แปลว่า “การแข่งขัน” จึงนับเป็นการแสดงแบบกีฬาประเภทหนึ่งที่นิยมจัดขึ้นในเทศกาลงานบุญ แต่ก็ไม่มีบ่อยครั้งนัก กล็องเส็งนั้นสำคัญอยู่ที่กลองกับคนตีกลอง สำหรับตัวกลองนั้นขุดด้วยไม้จนกลวง มีปากกว้าง ก้นแคบ ใช้หนังวัวหรือหนังควายหุ้มหน้ากลอง มีสายเร่งสำหรับเร่งให้หน้ากลองตึงมากหรือน้อยตามความต้องการ เฉพาะในกลุ่มหมู่บ้านที่มีความสนิทชิดชอบกัน หรือเจ้าอาวาสของแต่ละวัดชอบพอเคารพนับถือกันดีอยู่ บางครั้งก็มีการแข่งขันกันในงานบั้งไฟ โดยปักสลากระบุว่าให้เอากลองเส็งไปพร้อมกับบั้งไฟด้วย เวลาหามเอากลองเส็งไปยังที่แข่งขัน จะต้องตั้งพิธียกครูจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานขอให้ได้ชัยชนะ เวลาหามไปก็จะเคาะกลองไปเบา ๆ ให้เสียงกลองเป็นสัญญาณบอกว่ากลองของหมู่บ้านนั้น ๆ กำลังจะมาถึงแล้ว เมื่อลงมือแข่งขันกันก็เริ่มต้นมัดกลองทั้งคู่เข้ากันเป็นคู่ ๆ เริ่มจากเสียงเบาที่ฟังเพราะก่อน จากนั้นก็จะค่อย ๆ ดังขึ้น ๆ ตอนนี้เองถ้าฝ่ายใดเหนือกว่าก็จะส่งเสียงกลบอีกฝ่ายหนึ่งอย่างราบคาบ ถ้าค่อนข้างสูสีกันจะมีเสียงอีกฝ่ายหนึ่งดังสอดแทรกขึ้นบ้าง แต่ที่เสมอกันก็จะยิ่งดังมากขึ้น ผู้ตีกลองนั้นจะเคลื่อนไหวร่างกายจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สะโพกก็จะส่ายไปมาอย่างรวดเร็วด้วย การแพ้ชนะไม่ได้อะไรกลับไป นอกจากผู้ชนะจะได้มีหน้ามีตาเท่านั้น ในปัจจุบันกำลังได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีก หลังจากซบเซามาเกือบ 40 ปีรำลาวกระทบไม้ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;color:#3333ff;"><strong>"รำกระทบไม้"</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวจังหวัดสุรินทร์ เดิมเรียกว่า "เต้นสาก" ประเทศไทยมีอาชีพทางกสิกรรมมาช้านาน การทำนาผลิตข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย และทำรายได้เป็นสินค้าออกให้แก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่จึงคลุกคลีอยู่กับการทำนา เริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ ดำ และเก็บเกี่ยว เป็นต้น ด้วยนิสัยรักสนุก </span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><br /><div>http://www.art2bempire.com/board/index.php?topic=7574.0</div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-19600441531504512042010-02-04T04:25:00.000-08:002010-02-04T04:53:27.207-08:00การแสดง<a href="http://www.thaigoodview.com/files/u19924/1_display.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 371px; CURSOR: hand; HEIGHT: 510px" alt="" src="http://www.thaigoodview.com/files/u19924/1_display.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#cc0000;">ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถแบ่งเรื่องการละเล่นพื้นเมืองได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ<br /></span></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">1. กลุ่มอีสานเหนือ ซึ่งสืบทอดวัฒนธรรมมาจากกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขง ที่เรียกว่า กลุ่มไทยลาว หรือกลุ่มหมอลำ หมอแคน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีมากที่สุดในภาคอีสาน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. กลุ่มอีสานใต้ แบ่งออกได้อีก 2 กลุ่ม คือ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">• กลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมเขมร - ส่วย หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเจรียง - กันตรึม" </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">• กลุ่มวัฒนธรรมโคราช หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเพลงโคราช" </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ถ้าพิจารณาถึงประเภทของเพลงพื้นเมืองอีสาน โดยยึดหลักเวลา และโอกาสในการขับร้องเป็นหลัก สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">1. เพลงพิธีกรรม </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ การลำพระเวสหรือการเทศน์มหาชาติ การแหล่ต่างๆ การลำผีฟ้ารักษาคนป่วย การสวดสรภัญญะ และการสู่ขวัญในโอกาสต่างๆ ฯลฯ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า "เรือมมม็วต" จะช่วยให้คนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลาลงได้ ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องมีหัวหน้าหรือครูมม็วตอาวุโสทำหน้าที่เป็นผู้นำพิธีต่างๆ และเป็นผู้รำดาบไล่ฟันผีหรือเสนียดจัญไรทั้งปวง 2. เพลงร้องเพื่อความสนุกสนาน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ กันตรึม เจรียง เพลงโคราช<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ปัจจุบันมีการแสดงชุดใหม่ที่สถาบันต่างๆ ของภาคอีสานแต่ละกลุ่มได้ประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นใหม่ ทำให้มีผู้แบ่งศิลปะการฟ้อนทั้งชุดเก่า และชุดใหม่ที่ปรากฏอยู่ของภาคอีสานออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะออกมาในรูปของการแสดงพื้นเมือง ได้แก่ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">1. การฟ้อนเลียนกิริยาอาการของสัตว์ เช่น กระโนบติงตอง แมงตับเต่า และกบกินเดือน ฯลฯ</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">2. การฟ้อนชุดโบราณคดี เช่น ระบำบ้านเชียง รำศรีโคตรบูรณ์ ระบำพนมรุ้ง และระบำจัมปาศรี </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">3. การฟ้อนประกอบทำนองลำนำ เช่น ฟ้อนคอนสวรรค์ รำตังหวาย เซิ้งสาละวัน และเซิ้งมหาชัย </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">4. การฟ้อนชุดชุมนุมเผ่าต่างๆภูไท 3 เผ่า คือ เผ่าไทภูพาน รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ และเผ่าไทยโคราช 5. การฟ้อนเนื่องมาจากวรรณกรรม เช่น มโนห์ราเล่นน้ำ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">6. การฟ้อนเซ่นสรวงบูชา เช่น ฟ้อนภูไท แสกเต้นสาก โส้ทั่งบั้ง เซิ้งผีหมอ ฟ้อนผีฟ้า ฟ้อนไทดำ เรือมปัลโจล ฟ้อนแถบลาน รำบายศรี เรือมมม๊วต เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางด้ง รำดึงครกดึงสาก และเซิ้งเชียงข้อง ฯลฯ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">7. การฟ้อนศิลปาชีพ เช่น รำตำหูกผูกขิก ฟ้อนทอเสื่อบ้านแพง เรือมกลอเตียล (ระบำเสื่อ) เซิ้งสาวย้อตำสาด รำปั้นหม้อ รำเข็นฝาย เซิ้งสาวไหม รำแพรวา เซิ้งข้าวปุ้น รำบ้านประโคก เซิ้งปลาจ่อม เซิ้งแหย่ไข่มดแดง และเรือมศรีผไทสมันต์ ฯลฯ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">8. การฟ้อนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เช่น เซิ้งแคน ฟ้อนชุดเล่นสาว เป่าแคน รำโปงลาง ฟ้อนกลองตุ้ม เซิ้งกะโป๋ เซิ้งทำนา เซิ้งสวิง เซิ้งกะหยัง รำโก๋ยมือ รำกลองยาวอีสาน ระบำโคราชประยุกต์ เรือมอันเดร เรือมซันตรูจน์ เรือมตลอก (ระบำกะลา) และเรือมจับกรับ ฯลฯ </span></div><span style="font-family:arial;"></span><br /><p><span style="font-family:arial;"><strong>แหล่งที่มา<br /></strong>http://www.art2bempire.com/board/index.php?topic=7574.0<br /></p></span>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-55177027673257371102010-02-04T04:18:00.000-08:002010-02-04T04:25:48.553-08:00ภาษาอีสาน<a href="http://www.nectec.or.th/oncc/province/pictures/e5/nkrsm2-306-1-3.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 550px; CURSOR: hand; HEIGHT: 835px" alt="" src="http://www.nectec.or.th/oncc/province/pictures/e5/nkrsm2-306-1-3.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;">ภาษาพูดของคนอีสานในแต่ละท้องถิ่นนั้นจะมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไป ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตติดต่อกับถิ่นใดรวมทั้งบรรพบุรุษของท้องถิ่นนั้นๆด้วย เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มีชายแดนติด กับเขมร สำเนียงและรากเหง้าของภาษาก็จะมีคำของภาษาเขมรปะปนอยู่ด้วย ทางด้านจังหวัด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เลย ที่ติดกับประเทศลาวและมีชาวเวียดนามเข้ามาอาศัยอยู่ค่อนข้างมากก็จะมีอีกสำเนียงหนึ่ง ชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นๆ ก็จะมีสำเนียงที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองและยังคงรักษาเอกลักษณ์นั้นไว้ ตราบจนปัจจุบัน เช่น ชาวภูไท ในจังหวัดมุกดาหารและนครพนม ถึงแม้ชาวอีสานจะมีภาษาพูดที่มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น แต่ในภาษาอีสานก็มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงมีความคล้ายกันก็คือ ลักษณะของคำและความหมายต่างๆ ที่ยัง คงสื่อความถึงกันได้ทั่วทั้งภาค ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวอีสานต่างท้องถิ่นกันสามารถสื่อสารกันได้เป็นอย่างดี ถ้าจะถามว่าภาษาถิ่นแท้จริงของชาวอีสานใช้กันอยู่ที่ใดคงจะตอบไม่ได้ เพราะภาษาที่คนในท้องถิ่นต่างๆใช้กันก็ล้วนเป็นภาษาอีสานทั้งนั้น ถึงแม้จะเป็นภาษาที่มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีรากศัพท์ในการสื่อความหมายที่คล้ายคลึงกัน </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ในปัจจุบันชาวอีสานตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นได้หันมาใช้ภาษาไทยกลางกันมากขึ้น เพราะวัยรุ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาที่ดีเทียบเท่ากับคนในภาคกลางหรือกรุงเทพมหานคร ทำให้ภาษาอีสานเริ่มลดความสำคัญลง เช่นเดียวกันกับภาษาพื้นเมืองของภาคอื่นๆ แต่ผู้คนตามชนบทและคนเฒ่าคนแก่ยังใช้ภาษาอีสานกันเป็นภาษาหลักอยู่ ทั้งนี้คนอีสานส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาอีสานของท้องถิ่นตนเองและภาษาไทยกลาง หากท่านเดินทางไปในชนบทของอีสานจะพบการใช้ภาษาถิ่นที่แตกต่างกันไปดังที่กล่าวมาแล้ว แต่คนอีสานเหล่านี้โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็จะสามารถสื่อสารกับท่านเป็นภาษาไทยกลางได้อีกด้วย ทั้งนี้เพราะวัยรุ่นชาวอีสานใหญ่จะเข้ามาหางานทำในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อก่อนจะไปหางานทำเฉพาะหลังฤดูทำนา แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่จะเข้ากรุงเทพฯและทำงานที่นั่นตลอดทั้งปี ชาวอีสานที่ไปต่างถิ่นนอกจากจะหางานทำแล้ว ก็ยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมรวมทั้งภาษาของตนเองไปในตัว จะเห็นได้จากในปัจจุบันชาวไทยจำนวนมากเริ่มเข้าใจภาษาอีสาน ทั้งจากเพลงลูกทุ่งภาษาอีสานที่ได้รับความนิยมกันทั่วประเทศและจากคนรอบตัวที่เป็นคนอีสาน ทำให้ภาษาอีสานยังคงสามารถสืบสานต่อไปได้อยู่ถึงแม้จะมีคนอีสานบางกลุ่มเลิกใช้ละมะเขือลาย หรือผักอื่นๆ</span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"></span></div><br /><div><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span></div><div>http://student.nu.ac.th/isannu/isanculture/language1.htm </div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-4828679166537455252010-02-04T04:04:00.000-08:002010-02-04T04:18:07.530-08:00อาหาร<a href="http://fwmail.teenee.com/etc/img7/m74328.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 480px; CURSOR: hand; HEIGHT: 434px" alt="" src="http://fwmail.teenee.com/etc/img7/m74328.jpg" border="0" /></a> <span style="font-family:arial;">หากจะกล่าวถึงอาหารการกินของคนอีสาน หลายคนคงรู้จักคุ้นเคยและได้ลิ้มชิมรส กันมาบ้างแล้ว ชาวอีสานมีวถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายเช่นเดียวกับการที่รับประทานอาหารอย่างง่ายๆ มักจะรับประทานได้ทุกอย่าง เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ให้สอดคล้องกับธรรมชาติของภาคอีสาน ชาวอีสานจึงรู้จักแสวงหาสิ่งต่างๆที่สามารถรับประทานได้ในท้องถิ่น มาดัดแปลงเป็นอาหารรับประทาน อาหารอีสานเป็นอาหารที่มีความแตกต่างจากอาหารของภาคอื่นๆ และเข้ากับวิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายของชาวอีสาน อาหารของชาวอีสานในแต่ละมื้อจะเป็นอาหารง่ายๆเพียง 2-3 จาน ซึ่งทุกมื้อจะต้องมีผักเป็นส่วนประกอบหลักพวกเนื้อส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อปลาหรือเนื้อวัวเนื้อควาย<br />ความพึงพอใจในรสชาติอาหารของชาวอีสานนั้นไม่มีตายตัวแล้วแต่ความชอบของบุคคล แต่อาหารพื้นบ้านอีสานส่วนใหญ่แล้วจะออกรสชาติไปทางเผ็ด เค็ม และเปรี้ยว<br />เครื่องปรุงอาหารอีสานที่สำคัญและแทบขาดไม่ได้เลย คือ ปลาร้า ซึ่งที่เกิดจากภูมิปัญญาด้านการถนอมอาหารของบรรพบุรุษของชาวอีสาน ถ้าจะกล่าวว่าชาวอีสานทุกครัวเรือนต้องมีปลาร้าไว้ประจำครัวก็คงไม่ผิดนัก ปลาร้าใช้เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารได้ทุกประเภท เหมือนกับที่ชาวไทยภาคกลางใช้น้ำปลา<br /><br /><strong>ลักษณะการปรุงอาหารพื้นเมืองอีสาน</strong><br /><strong>ลาบ</strong> เป็นอาหารประเภทยำที่มีเนื้อมาสับละเอียดหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆบางๆปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า พริก ข้าวคั่ว ต้นหอม ผักชี รับประทานกับผักพื้นเมือง นิยมใช้กับเนื้อปลาหมูวัวควายและไก่<br /><strong>ก้อย</strong> เป็นอาหารประเภทยำที่จะนำเนื้อย่างมาหั่นเป็นชิ้นๆผสมกับผักพื้นเมืองนิยมใช้กับเนื้อปลาหมูวัวควายและไก่ ทานกับผักสดนานาชนิด<br /><strong>ส่า</strong> เป็นอาหารประเภทยำ ที่นำหนังหมู เนื้อหมูย่างสับมาผสมกับหัวปลี วุ้นเส้น<br />แซ หรือ แซ่ เป็นอาหารประเภทยำที่นำเนื้อสดๆมาปรุงนิยมใช้กับเนื้อวัวและหมู คล้ายๆลาบแต่มักใส่เลือดสดๆด้วย กินกับผักสดตามชอบ คนโบราณนิยมกินเพราะเชื่อว่าเป็นยาชูกำลัง ปัจจุบันได้รับความนิยมเฉพาะในชนบทที่ห่างไกล<br /><strong>อ่อม</strong> เป็นอาหารประเภทแกงแต่มีน้ำน้อยมีผัก พื้นเมืองหลายชนิดนิยมใช้กับเนื้อ ไก่และปลาหรือเนื้อกบเนื้อเขียดหรือเนื้อสัตว์อื่นๆแต่เน้นที่ปริมาณผัก<br /><strong>อ๋อ</strong> ลักษณะคล้ายอ่อมแต่ไม่ใส่ผัก(ใส่เพียงต้นหอม ใบมะกรูด ตะไคร้ ใบแมงลัก) นิยมใช้ปลาตัวเล็ก กุ้ง หรือไข่มดแดงปรุง ใส่น้ำพอให้อาหารสุก<br /><strong>หมก</strong> เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่ใช้ใบตองห่อนิยม ใช้กับเนื้อปลา ไก่ แมลง กบ เขียด ผักและหน่อไม้ หมกหรือห่อหมกของภาคอีสานจะไม่ใส่กะทิ<br /><strong>อู๋</strong> คล้ายหมกแต่ไม่ใช้ใบตอง นิยมใช้กับเนื้อปลาโดยเฉพาะปลาตัวเล็กๆ กับพวกลูกอ๊อดกบ<br /><strong>หม่ำ</strong> คือ ไส้กรอกเนื้อวัวผสมตับ ตะไคร้และเครื่องเทศอื่นๆ<br />หม่ำขึ้ปลา มีลักษณะคล้ายปลาร้าชนิดหนึ่งรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว หมักกับข้าวเหนียว<br /><strong>แจ่ว</strong> คือ น้ำพริกของชาวอีสานนิยมใส่ปลาร้าสับหรือน้ำปลาร้า บางครั้งใส่มะกอกพื้นบ้านก็เป็นแจ่วมะกอก รับประทานกับผักสด ลวก หรือนึ่ง เป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันทุกบ้านในภาคอีสาน เพราะมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก<br /><strong>ตำซั่ว</strong> เป็นอาหารประเภทส้มตำชนิดหนึ่ง แต่ใส่ส่วนประกอบมากกว่า คือ ใส่ขนมจีน ผักดอง ผัก(เหมือนที่ใส่ขนมจีน) </span><br /><span style="font-family:Arial;"></span><br /><span style="font-family:Arial;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br />http://student.nu.ac.th/isannu/food/foodindex.htmgatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-4742004098822586812010-02-04T03:56:00.002-08:002010-02-04T04:00:24.451-08:00ข้อมูลงานอดิเรก<br/><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010020418/5gqs60p.gif" alt="งานอดิเรก -ดูหนัง ฟังเพลง -เล่นกีฬา"/><br/>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-50246509996164469622010-02-04T03:56:00.001-08:002010-02-04T03:56:38.264-08:00ข้อมูลการศึกษา<br/><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010020418/54cuti6.gif" alt="การศึกษา ชั้นประถม ร.ร.บ้านหนองคะเน มัธยมต้น ร.ร.ชุมแพศึกษา มัธยมปลาย ร.ร.ชุมแพศึษา ปัจจุบันเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาลัยการเมืองการปกครอง สาขาบริหารรัฐกิจและกิจการสาธารณะ"/><br/>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-13175081682255037182010-02-04T03:40:00.000-08:002010-02-04T03:43:50.283-08:00ข้อมูลส่วนตัว<embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=th&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fnaononthong%2Falbumid%2F5402020731685048737%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26authkey%3DGv1sRgCLaY9v_Uko2T3QE%26hl%3Dth" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed><br /><br/><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010020418/39r7e3j.gif" alt="ชื่อนายเจตน์ เนาว์โนนทอง ชื่อเล่น เจตน์ ที่อยู่ 221/18 ม.11 ต.หนองไผ่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น 40130 naononthong@hotmail.com"/><br/>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-9484296255483802432010-01-30T08:45:00.000-08:002010-01-30T08:54:07.523-08:00E-commerce<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxEMEZp5ZzLdPet2wMqMLAEI8K4Kq7tRuyvdQjBQpWjS0lb_GxyKbMB8-4g2QwsiLO3GFdO3YDny4shOQsqiYAVINkOSuPSlgShNmVG653QuTm3CcRWSBkC-omiKyVz_cQ2m2CbAo1blA/s320/kc_ecommerce_features_1.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 280px; CURSOR: hand; HEIGHT: 301px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxEMEZp5ZzLdPet2wMqMLAEI8K4Kq7tRuyvdQjBQpWjS0lb_GxyKbMB8-4g2QwsiLO3GFdO3YDny4shOQsqiYAVINkOSuPSlgShNmVG653QuTm3CcRWSBkC-omiKyVz_cQ2m2CbAo1blA/s320/kc_ecommerce_features_1.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;color:#cc0000;">e-Commerce คือธุรกิจรูปแบบใหม่ในศตวรรษที่ 21<br /></span></strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ในอดีต การลงทุนค้าขายอะไรสักอย่าง จะต้องใช้เงินลงทุนสูง เลือกทำเล กู้เงินก้อนโต จ้างพนักงานประจำ และต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่หลังจากที่ Internet เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต ทำให้พฤติกรรมการลงทุนของคนกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนไป พวกเขาสามารถขายของ โดยไม่ต้องเช่า หรือสร้างอาคารสำหรับเปิดร้าน ไม่ต้องกู้เงินก้อนโตมาลงทุนจัดการสำนักงาน ไม่ต้องจ้างพนักงานนั่งหน้าร้าน เพราะนี่คือยุคของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce หรือ e-Commerce) เป็นคลื่นอีกลูกที่ต้องจับตา<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">เหตุที่พฤติกรรมการทำธุรกิจได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะระบบ Internet ได้เข้ามาเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะเอื้ออำนวยต่อการลงทุนค้าขาย นักธุรกิจสามารถทำหน้าร้านใน Internet ให้สวยงามอย่างไรก็ได้เพื่อดึงดูดลูกค้า มีภาพสินค้า สี รุ่น ให้ลูกค้าเลือกได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากทุกมุมโลก หากมีข้อสงสัยจะสามารถปรึกษาแบบ Online ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่มีค่าใช้จ่ายต่ำเช่น ICQ หรือ IRC หรือ E-Mail ติดต่อสื่อสารกัน เมื่อมีคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า ก็เพียงแต่นำสินค้านั้นจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ ไม่จำเป็นต้องมีโกดังเก็บสินค้าใหญ่โต การรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตจะทำให้ผู้ใช้สะดวกกว่าการจ่ายเงินสดอย่างมาก สิ่งเหล่านี้มิใช่ความฝันอีกต่อไป แต่กำลังดำเนินอยู่ในโลกปัจจุบันนี่เอง<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ความแพร่หลายของการนำระบบ Internet เข้ามาใช้ในปัจจุบัน ที่พอมีตัวอย่างให้สังเกตุได้ง่าย เช่น การหนังสือผ่าน Internet การส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือ หรือ Pager ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน การตรวจผลฉลากกินแบ่งรัฐบาล การนำสินค้าไปประกาศขาย หรือประกาศซื้อ การลงทะเบียนเรียนของสถาบันการศึกษาทาง Internet การสมัครเป็นสมาชิกกับองค์กร หรือสมาคมต่าง ๆ แบบ Online การรับสอน ให้คำปรึกษา หรือจัดอบรม การซื้อขายโปรแกรม รูปภาพ เอกสาร หรือเพลง เป็นต้น<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">จากข้อมูลในตลาดหุ่น </span><a href="http://www.nasdaq.com/"><span style="font-family:arial;">NASDAQ Stock market</span></a><span style="font-family:arial;"> ที่อาจทำให้ใครต่อใครที่ยังไม่รู้ว่า Internet คืออะไร ถึงกับตะลึงได้ว่า หุ่นของบริษัท Yahoo! ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้น มีมูลค่ารวมถึง 8.2 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งมูลค่าของบริษัทเท่ากับระบบเศรษญกิจของประเทศออสเตรเลียทั้งประเทศทีเดียว แม้ปัจจุบันมีเว็บไซต์ใน Internet เพียงไม่กี่รายที่มีกำไรจากผลประกอบการ แต่ส่วนใหญ่ต้องการทำเว็บให้ดีมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมมาก และส่งเข้าขายในตลาดหุ้น เพราะทันทีที่เข้าตลาดหุ้น หุ้นของบริษัทจะสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว และนักพัฒนาเว็บก็จะนำหุ้นออกจำหน่ายกลายเป็นเศรษฐีใหม่กันทันที นักลงทุนส่วนใหญ่ที่กล้าซื้อหุ้นของเว็บไซต์ มักต้องการซื้ออนาคตของเว็บนั้น เพราะเมื่อใครมีเว็บที่ทุกคนรู้จัก และมีอนาคต ต่อไปจะสามารถนำข้อมูล หรือสินค้าอะไรไปขายผ่านเว็บก็จะได้รับความสนใจ นักท่องเว็บก็จะเข้าเยี่ยมชม และใช้บริการสินค้าเหล่านั้น ดังที่ทุกคนต่างรู้กันดีว่า เว็บที่ให้บริการสืบค้นจะไม่มีใครล้มราชาอย่าง Yahoo ได้ และปัจจบัน Yahoo ก็เริ่มเข้ามาทำ Ecommerce ขายสินค้า แทนการให้บริการสืบค้นเพียงอย่างเดียว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นักลงทุนกล้าที่จะซื้อหุ้นของเว็บไซต์ใน Internet ซึ่งมีราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยหวังทีว่าเขาจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนกลับคืนมาเป็นก้อนมหาศาลในอนาคต<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">เว็บที่มีราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่สูงยังมีอีกมากเช่น </span><a href="http://www.amazon.com/"><span style="font-family:arial;">www.amazon.com</span></a><span style="font-family:arial;"> ซึ่งให้บริการขายหนังสือแบบ Online หรือ </span><a href="http://www.ebay.com/"><span style="font-family:arial;">www.ebay.com</span></a><span style="font-family:arial;"> ซึ่งให้บริการประมูลสินค้า ซึ่งทั้ง 2 เว็บนี้ต่างเป็นบริษัทที่ให้บริการในลักษณะ e-Commerce ที่ประสบความสำเร็จในการขายหุ้น แต่ในด้านการทำกำไรแล้ว ทั้ง 2 เว็บยังคงมีผลประกอบการขาดทุน หรือเว็บที่มีลักษณะใกล้เคียงกันแต่เป็นของคนไทย ก็เช่น </span><a href="http://www.thaiamazon.com/"><span style="font-family:arial;">www.thaiamazon.com</span></a><span style="font-family:arial;"> , </span><a href="http://www.thaicybermall.com/"><span style="font-family:arial;">www.thaicybermall.com</span></a><span style="font-family:arial;"> หรือ </span><a href="http://www.pramool.com/"><span style="font-family:arial;">www.pramool.com</span></a><span style="font-family:arial;"> เป็นต้น ซึ่งเป็นเว็บสัญชาติไทยที่ผู้คนรู้จักกันดี แต่สำหรับประเทศไทยการที่จะนำเว็บเข้าตลาดหุ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เว็บอันดับหนึ่งของไทย เช่น </span><a href="http://www.hunsa.com/"><span style="font-family:arial;">www.hunsa.com</span></a><span style="font-family:arial;"> หรือ </span><a href="http://www.sanook.com/"><span style="font-family:arial;">www.sanook.com</span></a><span style="font-family:arial;"> ก็ยังไม่ได้เข้าไปในตลาดหุ้น เพราะเว็บที่จะเข้าตลาดหุ้นได้นั้นจะต้องผ่านข้อกำหนด และเงื่อนไขหลาย ๆ อย่าง เช่นต้องมีทุนจดทะเบียนหลายสิบล้านเป็นต้น<br />รัฐบาลไทยได้เข้ามามีบทบาทให้การสนับสนุน e-Commerce อย่างเต็มที่ โดยมีหน่วยงานที่ชื่อ ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce Resource Center) ซึ่งเปิดเว็บไซต์ให้ข้อมูลข่าวสารที่ </span><a href="http://www.e-commerce.or.th/"><span style="font-family:arial;">www.e-Commerce.or.th</span></a><span style="font-family:arial;"> เช่นข่าวการประชุมสัมมนาที่เกี่ยวข้อง หรือร่างพระราชบัญญัติใหม่ ๆ ในด้าน Electronic เป็นต้น รวมทั้งการแจกเอกสารการสัมมนาที่มีประโยชน์ในรูปแบบ PDF ให้ชายไทยที่สนใจได้ Download ไปศึกษา<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#996633;">ประโยชน์ของ e-Commerce</span></strong><br />1. ไม่ต้องมีพนักงานนั่งประจำ เพราะสามารถให้บริการแบบอัตโนมัติได้<br />2. สามารถเปิดขายได้ตลอด 7 วัน ๆ ละ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด<br />3. สามารถเก็บเงิน และโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทอัตโนมัติ<br />4. ตอบสนองนักลงทุนได้ทุกระดับ ตั้งแต่มืออาชีพทุนหนา ไปถึงมือใหม่ทุนน้อย<br />5. ประหยัดค่าพิมพ์เอกสารแนะนำสินค้า เพราะรายละเอียดทั้งหมด เสนอผ่านเว็บ<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#009900;">ปัญหาการขนส่ง ซึ่งขึ้นกับประเภทธุรกิจ</span><br /></strong>1. ค่าขนส่งอันเนื่องจาก น้ำหนัก และขนาด โดยปกติการซื้อสินค้าใน Internet จะมีบริการขนส่งให้ถึงบ้าน ตัวสินค้าอาจมีราคาถูกจริง แต่ค่าขนส่งจะสูง ทำให้บางครั้งจะต้องขายสินค้าเป็นชุด หรือเป็นแพ็ค เพราะไม่คุ้มที่จะขนส่งสินค้าเพียงชิ้นเดียว และลูกค้าโดยทั่วไป มักไม่ยินดีชำระค่าขนส่งที่สูงกว่าราคาสินค้า เช่นเทปเพลงตลับละ 90 บาท แต่มีค่าขนส่ง 100 บาท ทำให้ราคารวมสูงถึง 190 บาท เป็นต้น<br />2. ปัญหาการส่งของสด เช่นร้านดอกไม้ ที่รับส่งดอกไม้ อาจต้องจำกัดให้บริการเฉพาะในพื้นที่เช่นในกรุงเทพฯ ดังนั้นลูกค้าในต่างจังหวัดจึงไม่สามารถใช้บริการ<br />3. การรับประกัน และนโยบายการคืนของ หรือรับประกันความพึงพอใจ ในสินค้าบางอย่างที่แตกหักเสียหาย หรือเสื่อมสภาพได้โดยง่ายเช่น อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ Diskette หรือ CD หากการขนส่งไม่ดี ปล่อยให้ตากแดด หรือมีความชื้นสูง อาจเป็นปัญหากับสินค้าได้ และภาระความรับผิดชอบจะต้องตกเป็นของผู้ขาย หรือผู้ซื้อ<br />4. ถ้าเกิดปัญกาการขนส่ง ซึ่งมีที่อยู่ของผู้รับผิด หรือผู้ที่รับไม่ใช่ผู้สั่งซื้อ เป็นต้น อาจเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณา วางมาตรการแก้ไข และป้องกันไว้อย่างดี ก่อนเริ่มกิจการ<br />5. สินค้าราคาสูง เช่น คอมพิวเตอร์ เพชร พลอย ทอง ภาพเขียนโบราณ หรือเครื่องแก้ว ซึ่งมีปัญหาทั้งความปลอดภัย และการประกันสินค้า โดยปรกติบริษัทขนส่งมักให้ความคุ้มครองสินค้าไม่สูงนัก การส่งสินค้าประเภทนี่จึงมีความเสี่ยงสูง<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">พื้นฐานสำคัญของ e-Commerce ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่ต้องทำงานประสานกัน ถ้าจะทำเว็บ e-Commerce จะต้องเลือกอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นตัวเครื่อง Server และระบบ Network ซึ่งต้องทำงานประสานกันอย่างสอดคล้อง เพราะต้องเปิด 24 ชั่วโมง ตลอด 7 วัน ส่วนซอฟต์แวร์จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการระบบฐานข้อมูล และมีประสิทธิภาพในการนำเสนอ เพื่อสร้างความประทับใจ และดึงดูดลูกค้า ซึ่งจำเป็นที่ผู้ต้องการทำ e-Commerce ด้วยตนเองต้องตระหนัก แต่การทำ e-Commerce มีหลายรูปแบบ ถ้าท่านมีทุนน้อยอาจไม่ต้องสนใจเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือการขอ Domain name จาก networksolutions.com หรือ thnic.net เพียงไปขอใช้บริการจากเว็บที่ให้บริการทำ e-Commerce ครบวงจร พวกเขาจะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ รับจัดการเรื่องการเงิน รับดูแลฐานข้อมูลสินค้า รับออกแบบเว็บ รับให้คำปรึกษา หรือรับส่งสินค้า เป็นต้น เพียงแต่ท่านต้องชำระค่าบริการเป็นรายเดือนเท่านั้น<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">หากท่านคิดจะทำ e-Commerce โดยติดตั้ง Hardware และ Software เอง และสามารถรับชำระเงินจากบัตรเครดิต เรื่องหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างระมัดระวังคือความปลอดภัย ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีการใช้ระบบ SSL(Secure Socket Layer) ซึ่งใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลสำหรับการสื่อสารของไคลแอนต์กับเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบ SET(Secure Electronic Transactions) จะคล้าย SSL แต่จะมีหน่วยงานกลางที่ยืนยันการทำธุรกรรม(Certification Authority:CA) และยืนยันความมีตัวตนโดยนำ Private key และ Public key มาใช้ ซึ่งผู้ขายสินค้าจะไม่ได้รับข้อมูลของรหัสบัตรเครดิต แต่จะได้รับเฉพาะข้อมูลการสั่งซื้อ รหัสบัตรเครดิตนั้นทางหน่วยงานกลางจะส่งไปให้ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงินต่อไป<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">นอกจากนี้ความปลอดภัยยังต้องรวมไปถึงการออกแบบฐานข้อมูล ที่จะต้องมีการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลความลับเป็นอย่างดี อาจหาระบบ Firewall มาป้องกันการเข้าถึงจากผู้ไม่มีสิทธิ์ และกำหนดสิทธิ์อันควรให้กับผู้ที่เข้าถึงข้อมูลได้ ในปัจจุบันการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านเครื่อง EDC (Electronic Data Capture) ตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหารอยู่แล้ว และต่อมาได้มีการพัฒนาให้สามารถรับชำระเงินผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย Internet ได้แล้ว โดยเว็บที่มีการนำระบบนี้มาใช้เป็นรายแรกคือ thaicybermall.com ซึ่งได้ทำการพัฒนาร่วมกับธนาคารกรุงไทย และเปิดให้บริการในปัจจุบัน ระบบนี้จะสามารถตรวจบัตรเครดิตแบบ Online ได้เหมือนกับการใช้จ่ายตามห้างสรรพสินค้าทันที เพราะการจ่ายชำระเงินด้วยบัตรเครดิตนั้น ลูกค้าเพียงแต่กรอกเลขบัตรเครดิต และเดือนปีที่บัตรหมดอายุ ผู้ขายก็สามารถติดต่อให้ธนาคารโอนเงินให้แบบอัตโนมัติผ่านเครื่อง EDC ที่เตรียมไว้นั่นเอง<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">ปัจจุบันการชำระเงินในระบบเครือข่าย Online สามารถกระทำได้หลายวิธีเช่น ใช้บัตรเครดิต(Credit card) ส่งเช็คอิเล็กทรอนิกส์(E-Cheque) เงินสดดิจิตอล(Digital cash) ระบบไมโครแคช(Micro cash) หรือ EDI (Electronic Data Interchange)สำหรับการซื้อขายระหว่างกัน โดยใช้เอกสารแบบฟอร์มอิเล็กทรอนิคส์ที่เป็นมาตราฐาน และต่อมาได้มีการออกแบบระบบ EFT (Electronic Funds Transfer) เพื่อให้สามารถส่งผ่านรายการโอนเงินในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อำนวยต่อการพัฒนาระบบ e-Commerce ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;">e-Commerce เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่าน การตัดสินใจลงทุนในธุรกิจประเภทนี้ จะต้องวางแผนให้รัดกุม ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนในระยะแรกไม่สูง และไม่ต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มากนัก ก็สามารถทำธุรกิจประเภทนี้ได้ แต่ปัจจุบันมีคู่แข่งเข้ามาในธุรกิจมาก เพราะนักลงทุนสามารถเปิดธุรกิจได้ง่าย และกำลังอยู่ในความสนใจของคนรุ่นใหม่ แต่ถ้าคิดจะลงทุนค้าขายสินค้าให้คนไทย อาจจะต้องพบปัญหาที่คนไทยยังมีอัตราการใช้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ในระบบ Internet น้อย ทำให้มี Supply มากกว่า Demand นั่นจึงเป็นปัญหาที่ต้องพิจารณา และหาทางแก้ไข อย่างเป็นขั้นตอนต่อไป จึงจะทำให้ระบบ e-Commerce ในประเทศเราก้าวไปได้อย่างมั่นคง </span></div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-82232782872329829932010-01-30T08:39:00.000-08:002010-01-30T08:45:29.658-08:00E-commerce<a href="http://www.it-instructor.com/images/6_1.jpg"><img style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 421px; CURSOR: hand; HEIGHT: 360px" alt="" src="http://www.it-instructor.com/images/6_1.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong>e-Commerce ทำอย่างไร</strong></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#009900;">บริการตั้งร้านค้า ในอินเทอร์เน็ต</span></strong><br />1.พื้นที่ตั้งร้านบน net ฟรี จาก free hosting แสดงสินค้า แล้วให้ลูกค้า มาติดต่อขอซื้อมา<br />2.พื้นที่ตั้งร้านบน net ฟรี จาก free hosting ที่บริการ e-Commerce พร้อม shopping cart<br />3.พื้นที่แบบเสียเงิน แต่ไม่รับชำระผ่านระบบบัตรเครดิต เนื่องจากยุ่งยาก และมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามา<br />4.พื้นที่แบบเสียเงิน พร้อมเข้าระบบรับชำระผ่านบัตรเครดิตที่สมบูรณ์ เพราะหวังขายได้มาก ๆ เปิดช่องทางกว้างขึ้น<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#33ccff;">เรื่องน่าคิดอื่น ๆ ก่อนทำ e-Commerce</span></strong><br />1.ขายอะไร (ผมเองก็ติดปัญหาเรื่องนี้ เพราะไม่รู้จะขายอะไร ที่เหมาะสมกับตัวที่สุด .. จึงยังไม่ขาย) ธุรกิจที่น่าสนใจในปัจจุบัน เช่น ดอกไม้, Hand-make, หนังสือ, CDเพลง, โปรแกรม, ให้เช่า server, รับโฆษณา หรือเข้าไปดูที่ shoppingthai.com ก็ได้ครับ<br />2.จด Domain Name และจดกับใคร </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">1. จด .com หรือ .net หรือ .co.th </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">2. จดกับผู้ให้บริการจดชาวไทย หรือชาวต่างชาติดี<br />3.เป็น SME (Small and Medium Enterprises) เพื่อรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ และจะตั้งเป็นบริษัท หรือไม่<br />4.ระบบ stock เป็นอย่างไร เช่นฝากสินค้า หรือขนถ่ายสินค้าสะดวกไห<br />5.ภาษีคิดอย่างไร ทั้งในและต่างประเทศ<br />6.ระบบเงินตราที่ขายสินค้าเป็นบาท dollar หรือบาท<br />7.ราคาขาย เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องกำหนดให้เหมาะสม ไม่ถูกหรือแพงเกินไป และต้องมีเหตุผล อธิบายเสมอ<br />8.ทำเอง หรือให้ผู้เชี่ยวชาญที่เขาให้บริการ ครบวงจร<br />9.การขนส่งคิดค่าใช้จ่ายอย่างไร (ตามน้ำหนัก ตามระยะทาง ตามมูลค่า หรือตามขนาด)<br />10.ความปลอดภัย (ถ้าไม่รับเรื่องบัตรเครดิต หรือไม่ serius เรื่องความลับก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ) </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">1. SSL (Secure Socket Layer) จะเข้ารหัสก่อนส่ง ไปให้ผู้บริการ เป็นระบบที่นิยมกันมาก และใช้ key เฉพาะจากผู้ส่งเท่านั้น แต่มีจุดบกพร่อมของระบบที่ ข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสแล้ว เมื่อส่งไปยังปลายทางจะถูกถอดรหัส เป็นเลขบัตรเครดิตให้เห็น ซึ่งอาจถูก hack ข้อมูลไปได้ </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">2. SET (Secure Electronic Transactions) เป็นระบบที่ปลอดภัยมาก เพราะผู้ซื้อ และผู้ขาย ต่างก็มีรหัสที่ต้องขอจากหน่วยงานกลาง เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม (Certification Autority : CA) ร้านค้าจะได้รับเฉพาะข้อมูลการสั่งซื้อ ส่วนรหัสบัตร ร้านค้าจะไม่ทราบ แต่จะส่งไปให้ธนาคารโดยตรง (ปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายของระบบนี้ยังสูงอยู่)<br /></span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#999900;">เลือกรูปแบบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span></strong> (ท่านอาจทำทุกรูปแบบ หรือแบบใดแบบหนึ่ง) </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">รูปแบบที่ 1: B-to-B (Business to Business) เป็นการค้าระหว่างองค์กร หรือบริษัท (ปริมาณขายต่อครั้งจะมาก) </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">รูปแบบที่ 2: B-to-C (Business to Consumer) เป็นการค้าจากองค์กร สู่ลูกค้าบุคคล (ค้าส่งขนาดย่อม ประมาณพอประมาณ) </span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">รูปแบบที่ 3: C-to-C (Consumer to Consumer) เป็นการค้าระหว่างบุคคล ถึง บุคคล (ค้าปลีก ปกติปริมาณขายจะน้อย)</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">รูปแบบที่ 4: G-to-C (Government to Consumer) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับผู้บริโภค (การให้บริการประชาชน)</span></div><br /><div><span style="font-family:arial;font-size:130%;">รูปแบบที่ 5: G-to-B (Government to Business) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับองค์กร (ปริมาณการค้ามาก) </span></div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-46114638745845567042010-01-30T08:27:00.000-08:002010-01-30T08:38:54.972-08:00E-commerce<a href="http://www.it-instructor.com/images/6_0_1.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 300px" alt="" src="http://www.it-instructor.com/images/6_0_1.jpg" border="0" /></a><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="font-size:180%;">e-Commerce คืออะไร</span></strong> </span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;">- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999)</span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc0000;">- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span> คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998) </span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#006600;">- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span> คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และตรอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, คะตะล้อกอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998) </span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#ffcc33;">- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span> คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997) </span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#3333ff;">- พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์</span> คือ การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจำหน่วยหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997) </span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#663300;">- </span><a href="http://en.wikipedia.org/wiki/E-commerce"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#663300;">พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce)</span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"> คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้</span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#999999;">- </span></span><a href="http://en.wikipedia.org/wiki/E-commerce"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#999999;">Electronic commerce</span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;">, commonly known as e-commerce or eCommerce, consists of the buying and selling of products or services over electronic systems such as the Internet and other computer networks. The amount of trade conducted electronically has grown dramatically since the wide introduction of the Internet. A wide variety of commerce is conducted in this way, including things such as electronic funds transfer, supply chain management, e-marketing, online marketing, online transaction processing, electronic data interchange (EDI), automated inventory management systems, and automated data collection systems. Modern electronic commerce typically uses the World Wide Web at at least some point in the transaction's lifecycle, although it can encompass a wide range of technologies such as e-mail as well.<br /></span></p><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;">กระบวนการพื้นฐาน (Basic Process) เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์<br />1.ลูกค้า เลือกรายการสินค้า ของผู้จำหน่าย (Catalog)<br />2.ลูกค้า ส่งคำสั่งซื้อ ให้ผู้จำหน่าย (Order)<br />3.ลูกค้า ชำระเงิน ให้ผู้จำหน่าย (Payment)<br />4.ลูกค้า รอรับสินค้า จากผู้จำหน่าย (Shipping)<br /></p></span><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;">e-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 20<br />1.ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว<br />2.ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด </span><span style="font-family:arial;font-size:130%;">24 ชั่วโมง<br />3.เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ<br />4.ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก<br />5.แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ<br />6.แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย<br /></p></span><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;">หัวข้อให้คิด ที่ส่งผลให้การทำ e-Commerce สำเร็จ<br />1.สำรวจ (Research) :: สำรวจตลาดบ่อยเพียงใด เพื่อประเมินคู่แข่ง ตนเอง และลูกค้า<br />2.วางแผน (Planning) :: กำหนด Gantt chart เพื่อติดตั้งระบบ แผนลงทุน และแผนคืนทุน<br />3.เงินทุน (Loan) :: ต้องใช้เงินทุนทั้งหมดเท่าไร หาได้ที่ไหน คืนอย่างไร<br />4.จ่ายเงิน (Payment) :: แผนรับชำระเงิน เช่น โอนผ่านตู้เอทีเอ็ม พกง. เพย์พาล เคาน์เตอร์ธนาคาร ดร๊าฟธนาคาร บัตรเครดิต ตั๋วเงินรับ เช็คส่วนบุคคล การโอนทางโทรเลข<br />5.ขนส่ง (Transport) :: สินค้าจะจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าอย่างไร เช่น Fedex, DHL, Logistic </span><span style="font-family:arial;font-size:130%;">เป็นต้น<br />6.สินค้า (Product) :: ความน่าสนใจของสินค้า ขายแล้วจะมีคนซื้อ หรือไม่<br />7.ราคา (Price) :: ราคาที่จะส่งผลถึงกำไร จากการสั่งซื้อแต่ละครั้งมากพอ หรือไม่<br />8.สถานที่ (Place) :: ขายให้คนไทย หรือต่างชาติ ที่พักสินค้า ร้านตั้งที่ไหน<br />9.โฆษณา (Promotion) :: มีแผนโฆษณาอย่างไร และจะใช้วิธีการใดบ้าง<br />10.คลังสินค้า (Stock) :: ระบบจัดการคลังสินค้า ควบคุมอย่างไร<br />11.เวลา (Time) :: ประเมินระยะเวลาตั้งแต่สั่งซื้อ ส่งสินค้า และได้รับเงิน ทั้งหมดกี่วัน<br />12.ผิดพลาด (Error) :: ส่งไปแล้วไม่มีผู้รับ ไม่ได้รับเงิน ส่งไม่ทัน ไม่ได้มาตรฐานทำอย่างไร<br />13.สำนักงาน (Office) :: มีพนักงานกี่คน ลงทุนอะไรบ้าง ที่ตั้งสำนักงาน และแหล่งสินค้า<br />14.หีบห่อ (Package) :: คำสั่งซื้อจะมาพร้อมรูปแบบสินค้า และลักษณะหีบห่อ ยืดหยุ่นหรือไม่<br />15.เทคนิค (Technique) :: รายละเอียดของระบบที่ใช้ เพื่อให้เกิดการซื้อขายได้ เป็นแบบใด<br />16.ออกแบบ (Design) :: ออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือหน้าร้านได้น่าสนใจหรือไม่<br />17.ความปลอดภัย (Security) :: ทุกระบบต้องรองรับการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีได้ทุกรูปแบบ<br />18.ขนาด (Size) :: ขนาดระบบ เช่น รองรับจำนวนลูกค้า การสั่งซื้อ หรือสินค้าได้เพียงใด<br />19.การควบคุม (Controlling) :: การควบคุมกระบวนการทั้งหมด ให้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง<br />20.สำรอง (Backup) :: แผนสำรองข้อมูล ในกรณีที่ระบบล้ม หรือผู้ให้บริการเว็บไซต์ยกเลิก<br />212ภาษี (Tax) :: เข้าใจกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ในประเทศ และกฎหมายด้าน IT </span></p>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-66473583627662357612010-01-24T22:40:00.000-08:002010-01-24T22:40:08.149-08:00<img style="visibility:hidden;width:0px;height:0px;" border=0 width=0 height=0 src="http://counters.gigya.com/wildfire/IMP/CXNID=2000002.0NXC/bHQ9MTI2NDQwMTM3NDQzNyZwdD*xMjY*NDAxNjM2MDc4JnA9MTQ2NDgxJmQ9Jm49YmxvZ2dlciZnPTEmbz*zY2RlMGU4YzdmMGU*/ZGQ3YThlNDVlNGUzMWYzNmQ3MSZvZj*w.gif" /><a href="http://s06.flagcounter.com/more/Kl4"><img src="http://s06.flagcounter.com/count/Kl4/bg=FC142B/txt=000000/border=CCCCCC/columns=3/maxflags=12/viewers=jate/labels=1/pageviews=1/" alt="free counters"></a>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-44039546138301921402010-01-23T06:52:00.000-08:002010-01-23T06:53:50.612-08:00อยากได้ยินว่ารักกัน<object width="445" height="364"><param name="movie" value="http://www.youtube-nocookie.com/v/enRFK8HSeqo&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube-nocookie.com/v/enRFK8HSeqo&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="445" height="364"></embed></object>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-75743544295179477812010-01-18T02:52:00.000-08:002010-01-18T03:19:16.925-08:00วันครู<a href="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:Mn_HiO-qYn55IM:http://www.sesao.go.th/e-news/pic/1795_02.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 150px; FLOAT: left; HEIGHT: 113px; CURSOR: hand" border="0" alt="" src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:Mn_HiO-qYn55IM:http://www.sesao.go.th/e-news/pic/1795_02.jpg" /></a><br /><div><a href="http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:EO5cLWJ8Or4VAM%3Ahttp://www.oknation.net/blog/home/album_data/917/30917/album/29688/images/266626.jpg"></a><strong><span style="font-size:180%;color:#000099;">วันนครู<br /></span></strong>ความหมาย<br />ครู หมายถึงผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่<br />ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ<br /><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#000099;">ประวัติความเป็นมา<br /></span></strong>วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูใน<br />ราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า"คุรุสภา" ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล<br />และให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็น<br />ในเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดสวสัดิการให้แก่ครูและครอบครัว<br />ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู<br />ด้วยเหตุนี้ในทุกๆปี คุรุสภาจึงจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศ<br />แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆเกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภา โดยมี<br />คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุม"สามัคคยาจารย์"<br />หอประชุมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในระยะหลังจึงมาใช้หอประชุมของคุรุสภา<br />ปี พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการ<br />อำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจาก<br />ผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า"วันครู"ควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดา<br />ลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไป<br />ถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือ<br />ครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ<br />ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"<br />จากแนวความคิดนี้ กอรปกับคว่ทคอดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆที่ล้วนเรียกร้องให้มี"วันครู"<br />เพื่อให้เป็นการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่แประโยชน์ของชาติ<br />และประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มี<br />"วันครู" เพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอในหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณ<br />บูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู และเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอีนดีระหว่างครูกับประชาชน<br />ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคม ของทุกปีเป็น"วันครู"<br />โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็นวันครู<br />และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้<br />การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติ<br />เป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้ให้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ<br />หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ<br />การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบัน<br />ได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ดังนี้<br />1.กิจกรรมทางศาสนา<br />2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์<br />3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู สา่วนมากจะเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริง<br />ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้กำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภา โดยมี<br />คณะกรรมการจัดงานวันครูซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด<br />สำหรับส่วนภูมิภาคให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกันกับส่วนกลาง<br />จะรวมกันจัดที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้<br />รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง(หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ<br />ประธานอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์<br />และประชาชนร่วมกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 1,000 รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธี<br />ในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรี<br />จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ประธานฝ่ายสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงาน<br />ต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครู"อาวุโส"นอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึก<br />ถึงพระคุณบูรพาจารย์ ดังนี้<br /><br />ปาเจราจริยา โหนติ คุณุตตรานุสาสกา<br />(วสันตดิลกฉันท์) ประพันธ์ โดยพระวรเวทย์พิสิฐ(วรเวทย์ ศิวะศรียานนท์) </div><div></div><div><strong><span style="font-size:180%;"><span style="color:#009900;">แหล่งที่มา</span> </span></strong></div><div></div><div></div><br />http://images.google.co.th/images?hl=th&rlz=1R2MOOI_enTH345&q=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9&um=1&ie=UTF-8&ei=gT9US5-RNsGOkQW0hN2yCg&sa=X&oi=image_result_group&ct=title&resnum=1&ved=0CBAQsAQwAAgatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-83006631830549159772010-01-17T23:26:00.000-08:002010-01-17T23:29:12.345-08:00งานสวัสดีปีใหม่2553<embed pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" type="application/x-shockwave-flash" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=th&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fnaononthong%2Falbumid%2F5427976692352701361%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Dth"></embed><br /><span style="font-size:180%;color:#3366ff;">เย็นวันที่ 31 ธค. ปี 2552 ที่ ขอนแก่น ได้จัดงาน เฉลิมฉลองศักราชใหม่ขึ้น ในปีนี้จัดยิ่งใหญ่มักมาก โดยจัดที่บริเวณ สี่แยก ประตูเมือง ระหว่าง ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ติดกับ เซนทรัลพลาซ่า.........<br />พวกเราชาวขอนแก่นได้สัมผัสบรรยากาศ รถติดเหมือนชาว กทม.ยังไงยังงั้นเลยค่ะ.......ทันหมัยมาก<br />ปิดถนนตั้งแต่แยก เซนทรัลพลาซ่า ไปถึง ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง......<br />ผู้เขียนได้ตามมาเก็บบรรยากาศให้ทุกท่านได้ชม ในช่วงหัวค่ำตอนพิธีเปิดงานเมื่อเก็บภาพเสร็จแล้วต้องรีบกลับบ้าน ก่อนที่ผู้คนจะหลั่งไหล..เพื่อมา count down มากกว่านี้ค่ะ............</span><br /><span style="font-size:180%;color:#ff6666;">แล่งที่มา</span><br /><a href="http://gotoknow.org/blog/pra-rt/324473">http://gotoknow.org/blog/pra-rt/324473</a>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-25316219673521093062010-01-17T22:55:00.000-08:002010-01-17T22:56:13.181-08:00<embed pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="400" height="267" type="application/x-shockwave-flash" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=th&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fnaononthong%2Falbumid%2F5404591519825974529%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26authkey%3DGv1sRgCIC4ub7Zhaj3TQ%26hl%3Dth"></embed>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-465177143126930762009-12-12T10:03:00.001-08:002009-12-12T10:08:47.906-08:00สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดขอนแก่น<div align="center"><a href="http://ridceo.rid.go.th/khonkhan/image/kham45_1.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 260px; CURSOR: hand; HEIGHT: 179px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://ridceo.rid.go.th/khonkhan/image/kham45_1.jpg" border="0" /></a> <span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>พระธาตุขามแก่น</strong></span></div><br /><br />ตั้งอยู่บนทางหลวงสายขอนแก่นกาฬสินธุ์ ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 12 กม. ข้ามลำน้ำพองเลี้ยวซ้ายไปอีก 14 กม. จุดหมายคือ วัดเจติยภูมิ ต.บ้านขาม อ.น้ำพอง วัดซึ่งเป็นที่ตั้งปูชนียสถานสำคัญคู่เมืองขอนแก่น "พระธาตุขามแก่น" ชาวขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงในภาคอีสานถือกันว่า พระธาตุขามแก่นเป็นจุดยึดเหนี่ยวทางใจ และเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธ์คู่อีสานอีกแห่งหนึ่ง นอกเหนือจากพระธาตุพนม จ. นครพนม และพระธาตุเชิงชุม จ. สกลนคร ตามประวัติกล่าวไว้ว่า หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ราว 3 ปีพระมหากัสสปะและเถระ ได้นำพระอุรังคธาตุไปประดิษฐานไว้ที่ภูกำพร้า ตามพระประสงค์ของพระพุทธองค์ แล้วประชุมพระอรหันต์ 500 องค์ กับพระยาอินทปัจฏฐนคร พระยาดำแดง พระยานันทเสน พระยาสุวรรณภิงคาร และพระยาจุลนีพรหมทัตต เป็นศาสนูปถัมภก ร่วมสร้างองค์พระธาตุพนมขึ้น ข่าวการสร้างพระธาตุพนมนี้เป็นข่าวใหญ่ เพราะขนาดเมืองโมรีย์ ซึ่งอยู่ในอาณาเขตของประเทศกัมพูชาปัจจุบันที่ออยู่ห่างไกลจากภูกำพร้าไป นับเป็นหมื่นๆ เส้นยังได้ทราบข่าว โมริยกษัตริย์ เจ้าเมืองโมรีย์ มีความประสงค์ที่จะนำพระอังคารขอองพระพุทธเจ้าที่ตนได้ไว้ เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ มาบรรจุไว้ในพระธาตุพนมร่วมกับพระอังคธาตุด้วย จึงโปรดให้พระอรหันต์ยอดแก้ว พระอรหันธรังษี พระอรหันต์คันธีเถระ เจ้าคณะรวม 9 องค์ และพระยาหลังเขียว เป็นผู้นำขบวนอัญเชิญพระธาตุในครั้งนี้ เมื่อมาถึงดอนมะขามแห่งหนึ่งซึ่งมีภูมิประเทศราบเรียบ มีห้วยเป็นแยก น้ำไหลผ่านไปรอบๆ ดอน พร้อมทั้งมีต้นมะขามใหญ่ยืนตายมานานจนเหลือแต่แก่นต้นหนึ่ง เนื่องจากเป็นเวลาที่ตะวันพลบพอดี คณะอัญเชิญพระธาตุคณะนี้จึงหยุดพักชั่วคราว จนรุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อไปจนถึงภูกำพร้า เมือถึงภูกำพร้าปรากฏว่าองค์พระธาตุพนมสร้างเสร็จแล้วไม่สามารถที่จะนำพระธาตุไปบรรจุเข้าได้อีกจึงได้พากันนมัสการพระธาตุแล้วเดินทางกลับ ตั้งใจว่าจะนำพระธาตุไปประดิษฐานไว้บ้านเมืองของตนดังเดิม แต่เมื่อผ่านดอนมะขามอีกครั้ง ก็ปรากฏแก่นมะขามที่ตายแล้วนั้น กลับยืนต้นผลิดอก แตกกิ่งก้านสาขาเขียวชอุ่มอย่างน่าอัศจรรย์ คณะอัญเชิญพระธาตุเห็นนิมิตดังนั้น จึงตกลงใจสร้างเจดีย์ครอบต้นมะขามแก่นต้นนั้นไว้ พร้อมกับนำพระธาตุและพระพุทธรูป ที่สร้างจากแก้วแหวนเงินทองเเข้าบรรจุไว้ภายในองค์พระธาตุพร้อมกับพวกตนทั้งหมดก็ปักหลักสร้างบ้านแปงเมืองกันที่บริเวณนี้ และเมื่ออยู่ต่อมาพระอรหันต์ทั้ง 9 นิพพานไปตามอายุขัยก็ได้สร้างพระธาตุเล็กไว้ทางทิศตะวันออกของพระธาตุองค์ใหญ่ เพื่อบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ทั้ง 9 เรียกว่าพระธาตุน้อย เมืองเก่าบ้านขามนี้ได้รกร้างผู้คนไปหลายหน จนถึงปี พ.ศ.2332 เพี้ยเมืองแพน เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ซึ่งได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บึงบอน หรือบ้านเมืองเก่าบริเวณ อ.เมืองขอนแก่นปัจจุบัน จึงได้นิมิตนามเมืองนี้ว่า "ขอนแก่น" อันเป็นชื่อเมืองภายในเจดีย์ นอกจากพระธาตุแล้ว ยังได้บรรจุคัมภีร์นวโลกุตตรธรรม และคาถาสรรเสริญพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า "บวรหคุณ" ไว้อีกด้วย ปัจจุบัน บริเวณองค์พระธาตุขามแก่นได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากรภายใต้การควบคุมของสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่นมีการปรับปรุงทาสีองค์พระธาตุ ขยายบริเวณกำแพงแก้วทั้ง 4 ด้าน ห่างจากองค์พระธาตุให้กว้างออกไป ปรับปรุงบริเวณทางเดินด้านหน้าองค์พระธาตุให้มีทัศนียภาพที่สวยงาม<br /><span style="font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>แหล่งที่มา</strong></span><br /><a href="http://ridceo.rid.go.th/khonkhan/html/phatan.html">http://ridceo.rid.go.th/khonkhan/html/phatan.html</a><br /><br /><span style="color:#000099;">แผนที่</span>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-27521826974716070202009-11-17T05:05:00.000-08:002009-11-17T05:24:51.908-08:00อินเตอร์เน็ต<div align="center"><span style="font-size:180%;color:#cc0000;"><strong><em>ระบบอินเตอร์เน็ต</em></strong></span></div><br /><br /><br /><a href="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g10/clip_image002.gif"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 462px; CURSOR: hand; HEIGHT: 264px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g10/clip_image002.gif" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><a href="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g10/images/wireless.gif"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 283px; CURSOR: hand; HEIGHT: 234px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://202.28.94.55/web/322161/2551/001/g10/images/wireless.gif" border="0" /></a><br /><br /><span style="font-size:180%;"></span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab2.htm"><span style="font-size:85%;">เครือข่ายอินเทอร์เน็ต</span></a><span style="font-size:85%;"> เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก อินเทอร์เน็ตมีพัฒนาการมาค่อนข้างยาวนานจาก อาร์พาเน็ต (ARPANET) ในปี พ.ศ. 2512 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐเพื่อเชื่อมโยงศูนย์งานวิจัยของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีการกำหนดคอมพิวเตอร์หลักที่ต่ออยู่บนเครือข่ายให้มีหมายเลขประจำเหมือนกับหมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขนี้จะเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน เช่น เครื่องแม่ข่ายของสาขาคอมพิวเตอร์ สสวท. ใช้รหัสหมายเลข 203.146.150.80 รหัสประจำเครื่องที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้นี้ แต่อาจยุ่งยากต่อผู้ใช้เพราะมีตัวเลขหลายตัว จึงมีการสร้างชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในหลักสากลเพื่อให้เรียกขาน และเป็นที่เข้าใจง่ายขึ้น เช่น oho.ipst.ac.th<br /></span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab2.htm"><span style="font-size:85%;">เครือข่ายคอมพิวเตอร์</span></a><span style="font-size:85%;"> ในประเทศไทยได้เชื่อมโยงโดยสมบูรณ์เข้ากับ </span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab2.htm"><span style="font-size:85%;">เครือข่ายอินเทอร์เน็ต</span></a><span style="font-size:85%;"> ในเดือนกันยายน 2536 จุดแรกที่เชื่อมโยงเข้าสู่อินเทอร์เน็ต คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์หลัก chulkn.chulu.ac.th เข้ากับเครือข่าย หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งปี ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ก็เชื่อมโยงเครือข่ายไทยสาร (Thaisarn) ซึ่งเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงของมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต<br /><br /></span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab2.htm"><span style="font-size:85%;">เครือข่ายอินเทอร์เน็ต</span></a><span style="font-size:85%;"> เป็นเครือข่ายเหมือนเครือข่ายโทรศัพท์ที่เชื่อมโยงเข้าหากันได้ทั่วโลก ด้วยเหตุนี้การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์จึงกระทำได้ในทุกเครือข่ายทั่วโลก การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากมายเช่น<br /><span style="color:#009900;">ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์</span> (electronic mail) </span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab5.htm"><span style="font-size:85%;">ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์</span></a><span style="font-size:85%;"> เป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง สามารถส่งข่าวสารถึงกันได้ทั่วโลก มีแนวโน้มการขยายตัวและจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีความเร็วในการส่งข่าวสารถึงกันได้มากกว่าการส่งทางไปรษณีย์ปกติ<br /><span style="color:#009900;">การสนทนาแบบเชื่อมตรง</span> (chat) ผู้ใช้งานบนเครือข่ายสามารถคุยกับคนอื่นในลักษณะโต้ตอบกันผ่านทาง </span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab3.htm"><span style="font-size:85%;">จอภาพ</span></a><span style="font-size:85%;"> และ </span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab5.htm"><span style="font-size:85%;">แผงแป้นพิมพ์อักขระ</span></a><span style="font-size:85%;"> การพูดคุยผ่านทางตัวหนังสือมีความชัดเจนและเข้าใจกันได้<br /><span style="color:#009900;">การค้นหาข้อมูล</span> (browser) คอมพิวเตอร์มีแฟ้มข้อมูลจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลที่สะสมและเก็บจากหลายๆ ผู้ใช้ และมีบางส่วนที่ต้องการเผยแพร่โดยไม่คิดมูลค่า เอกสารหนังสือหรือแม้แต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวนมากได้รับการจัดเก็บและเผยแพร่แก่ผู้สนใจที่อยู่ใน </span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab2.htm"><span style="font-size:85%;">เครือข่ายอินเทอร์เน็ต</span></a><span style="font-size:85%;"> ผู้ใช้งานทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงข้อมูลที่เจ้าของอนุญาตให้สำเนา เมื่อมีกลุ่มก็มีการรวบรวมข้อมูลและเก็บเผยแพร่ระหว่างกัน อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งข้อมูลแหล่งใหญ่มาก<br /><span style="color:#009900;">กระดานข่าว</span> (web board) บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีการจัดตั้ง </span><a href="http://203.154.140.4/ebook/files/vocab11.htm"><span style="font-size:85%;">กระดานข่าว</span></a><span style="font-size:85%;"> มีผู้ส่งข่าวสารถึงกันผ่าน กระดานข่าว กระดานข่าวส่วนใหญ่แบ่งเป็นกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้สนใจดนตรีก็มีการฝากเพลงหรือเรื่องรวมเกี่ยวกับดนตรี กลุ่มวัฒนธรรม กลุ่มไทยกรุ๊ป (Thai gruop) กลุ่มผู้สนใจจักรยาน<br /><span style="color:#009900;">เกมและนันทนาการ มีการเล่นเกมบนเครือข่าย เกมที่รู้จักกันดีคือเกม</span> (Multi User Dungeon : MUD) เกมผจญภัยต่างๆ ที่เล่นในเครือข่ายมีการสนทนาตอบโต้กันในระยะห่างไกล </span>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-41031570593699961072009-11-15T23:06:00.000-08:002009-11-15T23:29:38.652-08:00อินเตอร์เน็ต<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUncyPWnc0SpgaNZNhcD9om1EEiT_NGMAVMQSTGLHWAN4Z_RF18NlTpaYAZdBo_I5kReTuPyiOJxayDOYfs7iOMtuxhayT1hxhJCY6ilYLoPGMLsFVyUz9__6kzaja5dImrMmWS9GbPgI/s320/article_1033_18_11_05_pic6.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 299px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUncyPWnc0SpgaNZNhcD9om1EEiT_NGMAVMQSTGLHWAN4Z_RF18NlTpaYAZdBo_I5kReTuPyiOJxayDOYfs7iOMtuxhayT1hxhJCY6ilYLoPGMLsFVyUz9__6kzaja5dImrMmWS9GbPgI/s320/article_1033_18_11_05_pic6.jpg" border="0" /></a><br /><div>อินเตอร์เน็ตคืออะไร<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjUncyPWnc0SpgaNZNhcD9om1EEiT_NGMAVMQSTGLHWAN4Z_RF18NlTpaYAZdBo_I5kReTuPyiOJxayDOYfs7iOMtuxhayT1hxhJCY6ilYLoPGMLsFVyUz9__6kzaja5dImrMmWS9GbPgI/s1600-h/article_1033_18_11_05_pic6.jpg"></a><br />ในสังคมยุคข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า “อินเตอร์เน็ต” เหตุเพราะอินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนจำนวนมากในโลกนี้ไปแล้ว ประมาณกันว่าในแต่ละวันมีผู้คนมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศต่างๆ กว่า 150 ประเทศทั่วโลกกำลังใช้อินเตอร์เน็ตกันอยู่ อาจเป็นนักศึกษาคนหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่กำลังสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ หรือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นกำลังสั่งซื้อหนังสือจากประเทศไทย เป็นต้น การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตดังที่ได้กล่าวมานี้ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพของการสื่อสารที่ไร้พรมแดนได้อย่างชัดเจน<br />การใช้อินเตอร์เน็ตในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น โดยได้ก้าวล่วงเข้าไปในทุกสาขาอาชีพ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการศึกษาหรือการวิจัยเหมือนเมื่อเริ่มมีการใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ด้วยคุณสมบัติการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ ทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาขององค์กรทั้งหลาย ได้มีความพยายามนำอินเตอร์เน็ตมาใช้เพื่อประโยชน์สำหรับหน่วยงานของตนในรูปแบบต่างๆ อาทิ การประชาสัมพันธ์องค์กร การโฆษณาสินค้า การค้าขาย การติดต่อสื่อสาร ฯลฯ นอกจากนี้อินเตอร์เน็ตยังกลายเป็นอีกสื่อหนึ่งของความบันเทิงภายในครอบครัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถกระทำผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น<br />1. ความหมายของอินเตอร์เน็ต<br />“อินเตอร์เน็ต” มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน<br />คำว่า “เครือข่าย” หมายถึง<br />1. การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรง) และหรือสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม)<br />2. มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์<br />3. มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน<br />2. หน้าที่และความสำคัญของอินเตอร์เน็ต<br />การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วยงาน และอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเต็มที่<br />อินเตอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิงและวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ<br />เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลายคือ<br />1. การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้<br />2. อินเตอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกันห่างกันคนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึงกันได้<br />3. อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้<br />คำอื่นที่ใช้ในความหมายเดียวกับอินเตอร์เน็ต คือ Information Superhighway และ Cyberspace<br />3. อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย<br />ประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในพ.ศ. 2535 โดยเริ่มที่สำนัก วิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ 2 วงจร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมเชื่อมโยงเครือข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยายไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ<br />สำหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริษัทสำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เอกชนและบุคคลทั่วไปที่นิยมเรียกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailand) บริษัทเคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจำกัด (Internet KSC) บริษัทล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจำกัด (Loxinfo) เป็นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้บริการจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ<br />1. อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี<br />2. คำนวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสียเวลารอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้<br />3. ความเร็วของสายที่ใช้4. พื้นที่ในการให้บริการ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยู่ในจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่วนใหญ่มักให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร</div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-87722501833277785002009-11-15T23:03:00.000-08:002009-11-15T23:04:18.887-08:00tttt<a href="http://i232.photobucket.com/albums/ee274/akapong99/ninn06/5-28.jpg"><img style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 450px; CURSOR: hand; HEIGHT: 264px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://i232.photobucket.com/albums/ee274/akapong99/ninn06/5-28.jpg" border="0" /></a><br /><div></div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3353279535797773756.post-62111913564751475412009-11-09T07:40:00.000-08:002009-11-15T22:56:32.744-08:00เหอะๆ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHkP5BUgvsKvhdrDMRIDA4WBE_U-e2cnBUSlkEMHombO1VyhY2-2liuseFzZS-nJOIRhDEsSZWlj_e0NTRDyhNKweCnDgMtTsESNds1N2Mhhrbs3dwo5S_t1nWCKieodbMu3U80PMQZoE/s1600/16005_564569.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5404591518984168626" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; CURSOR: hand; HEIGHT: 292px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHkP5BUgvsKvhdrDMRIDA4WBE_U-e2cnBUSlkEMHombO1VyhY2-2liuseFzZS-nJOIRhDEsSZWlj_e0NTRDyhNKweCnDgMtTsESNds1N2Mhhrbs3dwo5S_t1nWCKieodbMu3U80PMQZoE/s400/16005_564569.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><a href="http://www.blogger.com/www.google.com"><span style="color:#ff0000;"><strong>คลังแห่งปัญญา</strong></span></a></div>gatehttp://www.blogger.com/profile/18371505889342961929noreply@blogger.com0